วันพุธที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2560

ความเข้าใจ ความใส่ใจในการนวดบำบัด

ความเข้าใจ ความใส่ใจในการนวดบำบัด

         ร่างกายคนเราเกิดจากการรวมตัวกันของธาตุทั้งสี่ คือดินน้ำลมไฟ การเจ็บป่วยของคนเรานั้น เป็นสัญญานเตือนว่า สมดุลของธาตุทั้งสี่นั้นเริ่มมีปัญหา
อาการปวดกล้ามเนื้อ โรคผิวหนัง กระดูกหัก ฯลฯ  นั่นคือ ธาตุดิน มีปัญหา
อาการเกี่ยวกับเลือด น้ำเหลือง ฯลฯ นั่นคือ ธาตุน้ำ มีปัญหา 
อาการจุกเสียด ลมแน่นท้อง เรอบ่อย ฯลฯ นั่นคือ ธาตุลม มีปัญหา 
อาการตัวร้อนแต่ไม่มีไข้ อาการปวดแสบปวดร้อน ฯลฯ นั่นคือ ธาตุไฟ มีปัญหา
         การบำบัดโดยการกินสมุนไพร เป็นธรรมชาติบำบัด หลักการในการใช้สมุนไพรบำบัดอาการจะไม่เหมือนยาแผนปัจจุบัน สมุนไพรจะไม่ส่งผลทันที แต่ในระยะยาวสมุนไพรที่กินเข้าไป จะค่อยๆเข้าไปปรับสมดุลของร่างกาย ให้กลับมาเป็นปกติ
         การนวดก็เป็นการธรรมชาติบำบัด ด้วยการกดนวด คลึง ดัด ปรับธาตุทั้งสี่ให้กลับมามีสมดุลดังเดิม
          ในขณะที่เกิดการเจ็บป่วยขึ้นมา ในเบื้องต้นเราจำเป็นต้องใช้ความรู้ และวิธีการในการรักษาทางแพทย์ปัจจุบัน เพื่อระงับ ยับยั้งอาการไม่ให้เลวร้ายลงไป และเมื่ออาการอยู่ในสภาวะที่ไม่รุนแรงแล้ว ทั้งการกินสมุนไพร และการนวดบำบัด เป็นการบำบัดอย่างค่อยเป็นค่อยไป เป็นการปรับให้สมดุลของธาตุ ดินน้ำลมไฟ กลับคืนมา
         สำหรับการบำบัดโดยการนวด โดยเฉพาะการนวดไล่ลม ก็เป็นการปรับสมดุลธาตุทั้งสี่ แต่เน้นปรับสมดุลของธาตุลมเป็นหลัก ด้วยหลักการที่ว่า ถ้าลมในกาย โดยเฉพาะลมในแนวเส้น สามารถไหลเวียน ให้เข้าออกตามรูขุมขน และตามข้อกระดูกต่างๆได้เป็นปกติ ลมที่ไหลเวียนออกนอกกายก็จะนำพาพลังงานที่เคยซึมซับ และสั่งสมเก็บไว้ภายในกายเรานี้ ให้ไหลออกนอกกายเราไปได้ ทำให้อาการป่วยไข้ค่อยๆทุเลา เบาลง และจะหายไปเอง จะต้องใช้เวลาในการบำบัดช้าหรือนาน ก็ขึ้นอยู่กับการสั่งสมของอาการของผู้ป่วย
- ถ้าผู้ป่วยอายุยังน้อย อาการขัดเกิดจากการใช้ชีวิตปกติ การบำบัด 1-2 ครั้ง อาการที่เคยเรื้อรังก็จะหายได้  ไม่ต้องนวดไปอีกเป็นหลายๆเดือน
- ถ้าผู้ป่วยอายุยังน้อย อาการขัดเกิดจากการใช้ชีวิตปกติ และเคยประสบอุบัติเหตุ ร่างกายโดนกระแทก หลังจากนั้นเกิดอาการที่เรื้อรัง เช่นรถชนกันจนศีรษะกระแทก ลื่นหกล้มแขนยันพื้น ลื่นหกล้มหลังฟาดพื้น ลื่นหกล้มก้นกระแทกพื้น ลื่นหกล้มเข่ากระแทกพื้น ขาพลิกขาแพลง หรือกระโดดลงมาจากที่สูงจนมีอาการปวดหลัง 
อาการที่เกิดขึ้น หลังเกิดอุบัติเหตุไม่นาน ถ้าเรานวดไล่ลม ทำให้ลมตามแนวเส้นไหลเวียนออกนอกกายได้ พลังงานที่สะเทือนเข้ามาก็จะไหลออกไปด้วย
 แต่ถ้าเราไม่ได้แก้ไขให้ลมไหลเวียนออกนอกกายไป พลังงานที่สะเทือนเข้ามาก็จะสั่งสมเก็บไว้  ทำให้เราบาดเจ็บเรื้อรัง
ผ่านมาหลายๆปี ต่อให้เรามาบำบัด นวดไล่ลม การบำบัดแค่1-2 ครั้ง ก็คงไม่พอแล้ว เนื่องจากพังผืดในชั้นกล้ามเนื้อจะเพิ่มพูน มากขึ้น  การบำบัดอาจจะต้องมีถึง 10 ครั้ง อาการเรื้อรังถึงจะทุเลา และหายได้
     
           
- ถ้าผู้ป่วยอายุมาก อาการขัดเกิดจากการใช้ชีวิตปกติ การบำบัด 1-2 ครั้ง อาการที่เคยเรื้อรังก็จะหายได้  ไม่ต้องนวดไปอีกเป็นเดือนๆ
-
- ถ้าผู้ป่วยอายุมาก อาการขัดเกิดจากการใช้ชีวิตปกติ และเคยประสบอุบัติเหตุ ร่างกายโดนกระแทก หลังจากนั้นเกิดอาการที่เรื้อรัง เช่นรถชนกันจนศีรษะกระแทก ลื่นหกล้มแขนยันพื้น ลื่นหกล้มหลังฟาดพื้น ลื่นหกล้มก้นกระแทกพื้น ลื่นหกล้มเข่ากระแทกพื้น ขาพลิกขาแพลง หรือกระโดดลงมาจากที่สูงจนมีอาการปวดหลัง 
-
อาการที่เกิดขึ้น หลังเกิดอุบัติเหตุไม่นาน ถ้าเรานวดไล่ลม ทำให้ลมตามแนวเส้นไหลเวียนออกนอกกายได้ พลังงานที่สะเทือนเข้ามาก็จะไหลออกไปด้วย

 แต่ถ้าเราไม่แก้ไขให้ลมไหลเวียนออกนอกกายไป พลังงานที่สะเทือนเข้ามาก็จะสั่งสมเก็บไว้  ทำให้เราบาดเจ็บเรื้อรัง ผ่านมาหลายๆปี ต่อให้เรามาบำบัด นวดไล่ลม การบำบัดแค่ 1-2 ครั้ง ก็คงไม่พอแล้ว เนื่องจากพังผืดในชั้นกล้ามเนื้อจะเพิ่มพูน มากขึ้น  การบำบัดอาจจะต้องมีถึง 10 ครั้ง หรือนวดต่อเนื่องเป็นปีๆเลยก็มี อาการเรื้อรังถึงจะทุเลา และหายได้

วันจันทร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2560

อาการเกี่ยวกับแขน มือ นิ้ว ( ตอน 8.2 )

อาการเกี่ยวกับแขน มือ นิ้ว ( ตอน 8.2 )

การบำบัดอาการคอ-บ่า-ไหล่ แขน มือ นิ้วมือ กับการนวดไล่ลม
        ในเรื่องของการนวดไล่ลม ทุกๆอิริยาบท หรือทุกๆอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับร่างกายส่วนบนของเรา พลังงานนั้นๆสะเทือนเข้ามาในกายเรา ไม่ว่าจะเข้ามาทางศีรษะ บ่า ไหล่ แขน มือ หรือนิ้วมือ พลังงานที่เข้ามานี้ จะเคลื่อนไหลไปตามแนวเส้น จนถึงเส้นข้างขาด้านใน
        ถ้าเข้ามาทางศีรษะ พลังงานจะเคลื่อนลงมาที่ต้นคอ บ่า  แนวร่องสะบักกับแนวกระดูกสันหลัง  สะบัก  แนวหลังใต้แนวสะบัก  แนวเอวตัดขวางเข้ากระดูกสันหลังเอวข้อที่3-4-5  วิ่งผ่านเชิงกราน  เข้าแนวเส้นข้างขาด้านใน  พลังงานสั่งสมลงมาจนถึงเส้นหน้าแข้งด้านใน แนวตาตุ่มใน สุดท้ายไปที่แนวฝ่าเท้าแนวร่องนิ้วโป้งและนิ้วชี้ 
      พลังงานเข้ามาทางนิ้วมือ อุ้งมือ ข้อมือ ข้อศอก ไหล่  พลังงานจะเคลื่อนเข้ามารวมกันที่บ่า ที่ต้นคอ  แนวร่องสะบักกับแนวกระดูกสันหลัง  สะบัก  แนวหลังใต้แนวสะบัก     แนวเอวตัดขวางเข้ากระดูกสันหลังเอวข้อที่3-4-5   วิ่งผ่านเชิงกราน  เข้าแนวเส้นข้างขาด้านใน พลังงานสั่งสมลงมาจนถึงเส้นหน้าแข้งด้านใน แนวตาตุ่มใน สุดท้ายไปที่แนวฝ่าเท้าแนวร่องนิ้วโป้งและนิ้วชี้ 
      จะเห็นได้ว่า ไม่ว่าพลังงานจะมาทางศีรษะ หรือพลังงานจะเข้ามาทางมือ แขน ไหล่ แนวเส้นร่วมกันที่พลังงานจะเคลื่อนลงมาที่ด้านล่างคือ เริ่มตั้งแต่ผ่านมาที่สะบัก แล้วจะเคลื่อนลงไปแนวหลังใต้แนวสะบัก  แนวเอวตัดขวางเข้ากระดูกสันหลังเอวข้อที่3-4-5 วิ่งผ่านเชิงกราน เข้าแนวเส้นข้างขาด้านใน พลังงานสั่งสมลงมาจนถึงเส้นหน้าแข้งด้านใน แนวตาตุ่มใน สุดท้ายไปที่แนวฝ่าเท้าแนวร่องนิ้วโป้งและนิ้วชี้ 

         อย่างเช่นเมื่อเราโดนนวด กดน้ำหนักลงบนบ่า บ่าเราเบาขึ้น แต่หลังเอวเราจะรู้สึกตึง ขัดขึ้นมาทันที ผ่านไป 1-2 วัน พลังงานก็จะเคลื่อนกลับไปที่แนวบ่าดังเดิม อาการคอบ่าไหล่ ก็จะย้อนกลับมาเป็นอีก

        การนวดไล่ลม โดยการกดขาท่านอนตะแคง ( แนวเส้นข้างขาด้านใน ) เมื่อลมในแนวเส้นที่ขาโล่ง จะทำให้ลมที่หลัง ที่เอว ที่แขน และลมในศีรษะ ที่ยังมีความหนาแน่นมากกว่า จะเกิดการแพร่ของลมในแนวเส้น ให้ไหล ตามลมร้อนที่วิ่งออกปลายเท้า พลังงานที่สั่งสมเข้ามาและยังอยู่ส่วนบนของลำตัว จะค่อยๆคลาย  ไหลออกไปกับลมที่เคลื่อนด้วย
      ในกรณีเดียวกันเมื่อเรานวดไล่ลม โดยการกดขาแนวนอนตะแคง ( แนวเส้นข้างขาด้านใน ) เมื่อลมในแนวเส้นที่ขาโล่ง  จะทำให้ลมหรือพลังงานที่เคลื่อนหนีลงมา ที่หลังเอว ไหลตามลงมาออกตามรูขุมขนที่เปิด ออกที่หัวเข่า ตาตุ่ม ปลายเท้า พลังงานที่เคลื่อนออกนอกกายไปได้ แล้วก็จะไม่ไหลย้อนกลับขึ้นไปที่บ่าอีก
        เพียงแค่การทำให้ลมหรือพลังงานที่แน่นอยู่ด้านบนของลำตัว ให้ลมนั้นแพร่ ไหลลงมาที่แนวเส้นขา อาการขัดของลมก็จะได้รับการแก้ไข ได้ในระดับหนึ่ง เปรียบเหมือนลูกโปร่งที่เป่าโตเต็มใบ มีความตึง ความดันลม 100% บีบแล้วแข็ง ต้านมือ บีบแรงๆก็แตกได้ 
        แต่เมื่อปล่อยลมในลูกโปร่งให้ไหลออกมาให้เหลือครึ่งใบ ความดันลมก็จะลดลงมาเหลือ 50% ลูกโปร่งก็จะนิ่มลง ไม่ต้านมือ 

     เมื่อเรากด นวดไล่ลม ให้ลมไหลร้อนออกปลายเท้าไปแล้ว การกดนวดต่อไปก็จะเริ่มกระทุ้งแนวเส้น ย้อนศรกลับไปด้านบนลำตัวเริ่มจากแนวที่กดนวด  ลมจะเริ่มกระทุ้งขึ้นขึ้น กระทุ้งผ่านเชิงกราน  กระทุ้งไปที่แนวเอว กระทุ้งออกจากเอวบริเวณกระดูกสันหลังเอวข้อที่3-4-5  ไปแนวตัดขวาง กระทุ้งขึ้นไปแนวหลังใต้แนวสะบัก   กระทุ้งเข้าสะบัก  กระทุ้งไปออกแขนท่อนบน ( ข้อศอก )   กระทุ้งไปออกแขนท่อนล่าง ( ข้อมือ ) กระทุ้งไปออกมือ ( ข้อกระดูกมือ ) กระทุ้งไปออกนิ้ว ( ข้อนิ้วมือ ) ในเวลานั้นลมหรือพลังงานจะวิ่งร้อนออกปลายมือ และปลายเท้าพร้อมกัน
            เมื่อเรากดนวดไล่ลมให้ไหลร้อนออกปลายมือ ปลายเท้าไปแล้ว การกดนวดต่อไปก็จะเริ่มกระทุ้งแนวเส้น ไปด้านบนต้นคอ ศีรษะ ( ลมร้อนออกตามกระดูกคอ ) กระทุ้งไปออกจุดสุดท้ายที่กระหม่อมบนศีรษะ  (  ลมไปออกที่ตา หู คอ จมูก ปาก  )
          การที่ลมหรือพลังงานวิ่งร้อนออกปลายมือ และปลายเท้า และศีรษะพร้อมกัน นั่นหมายถึง ในขณะเวลานั้นการนวดไล่ลมในแนวเส้นตะแคง ของซีกร่างกายข้างที่เราบำบัด เราสามารถบำบัดทำให้ลม หรือพลังงานที่สะเทือนเข้ามาตามแนวเส้นนี้ ทำให้พลังงานที่อยู่ใต้ผิวหนัง ชั้นบนสุด เคลื่อนออกนอกกายเราได้เป็นปกติ พร้อมลมที่วิ่งร้อนออก ไปตามข้อกระดูก ไปตามรูขุมขน ที่รากระทุ้งรูขุมขนจนเปิดจนโล่งแล้ว 

        การบำบัดอาการที่เกี่ยวกับลม  พลังงานสะสม เคลื่อนจากด้านบนไหลลงไปด้านล่าง การกดขาแนวนอนตะแคง ( แนวเส้นข้างขาด้านใน ) เป็นการแก้อาการที่ขัดมาจากด้านบนของร่างกายคืออาการคอ บ่า ไหล่ แขน มือ จะเริ่มบำบัดที่แนวขาก่อน ถ้าขาลมร้อนออกปลายเท้าแล้ว ก็จะกระทุ้ง แนวหลังเอว บ่า แขน มือให้รูขุมขนเปิดตลอดแนว  และถ้าแนวหลังเอว บ่า แขน มือ ไล่จนลมวิ่งร้อนออกปลายมือแล้ว สุดท้ายก็จะกระทุ้งที่แนวคอ และศีรษะ จนลมวิ่งร้อนออกบนศีรษะ
         จึงเป็นที่มาว่าทำไมเราต้องเน้นกดนวดไล่ลมที่ขาก่อน

วันพุธที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2560

อาการเกี่ยวกับแขน มือ นิ้ว ( ตอน 8.1 )

อาการเกี่ยวกับแขน มือ นิ้ว ( ตอน 8.1 )
 การแก้อาการคอบ่าไหล่ แขน มือ นิ้วมือ กับการนวดไล่ลม

      1.ขาเป็นระยางที่ยื่นออกนอกร่างกาย พลังงานที่สะเทือนเข้ามาจากฝ่าเท้า จะไปสุดที่โคนขา แล้วกระจายไปทุกทิศทาง เป็นอาการที่เกิดจากการยืนมาก เดินมาก การกระโดดลงมาจากที่สูง โดยปกติพลังงานที่สะเทือนเข้ามาจะเริ่มจากฝ่าเท้า แขน สุดท้ายไปสุดที่ศีรษะ หรืออาจจะเริ่มขึ้นมาจากการล้มแล้วก้นกระแทก พลังงานก็จะเข้ามา เคลื่อนขึ้นไปตามแนวกระดูกสันหลัง ไปแขน สุดท้ายก็จะขึ้นไปที่ศีรษะ ไล่ลมได้จากการกดนวดท่านอนคว่ำ
      2.ขาเป็นระยางที่ยื่นออกนอกร่างกาย พลังงานที่สะเทือนเข้ามาจากขา จะไปสุดที่โคนขา แล้วกระจายไปทุกทิศทาง อาการที่เกิดจากการที่เราขาพลิก-ขาแพลง โดยปกติพลังงานที่สะเทือนเข้ามาจะเริ่มจากข้อเท้า ทางหนึ่งลงทางหลังเท้า จนสุดปลายนิ้วเท้า อีกทางหนึ่งพลังงานจะเคลื่อนขึ้นส่วนบนของร่างกาย ไปแขน สุดท้ายขึ้นไปที่ศีรษะ ไล่ลมได้จากการกดนวดท่านอนหงาย
      3. ขาเป็นระยางที่ยื่นออกนอกร่างกาย พลังงานที่สะเทือนเข้ามาจากขา จะไปสุดที่โคนขา แล้วกระจายไปทุกทิศทาง อาการที่เกิดจากการขัดของลม อาการของเส้นนี้เกิดขึ้นเริ่มจากทางด้านบนของร่างกาย ลมขัดจากแขน ลมขัดจากคอ บ่า ลมขัดที่ไหล่  อาการขัดของลมจากบริเวณคอบ่าไหล่ เมื่อพลังงานเข้ามา จะมาสะสมอยู่บริเวณแนวร่องสะบักกับแนวกระดูกสันหลัง  แนวสะบัก แล้วเคลื่อนลงมาตามแนวหลังใต้แนวสะบัก ตัดขวางเข้าเอว กระดูกสันหลังเอว ข้อ3-4-5  วิ่งผ่านเชิงกราน เข้าแนวข้างขาด้านใน พลังงานสั่งสมลงมาจนถึงเส้นหน้าแข้งด้านใน แนวตาตุ่มใน สุดท้ายไปที่แนวฝ่าเท้าแนวร่องนิ้วโป้งและนิ้วชี้  ไล่ลมได้จากการกดนวดท่านอนตะแคง
      4.  อาการที่เกิดจากการขัดของแขน แขนเป็นระยางที่ยื่นออกนอกร่างกาย พลังงานที่สะเทือนเข้ามาจากแขน จะไปสุดที่โคนแขน แล้วกระจายไปทุกทิศทาง กระจายไปยังต้นคอ ใต้คาง แนวบ่า แนวหน้าอก สะบัก  แนวร่องสะบักกับแนวกระดูกสันหลัง การแก้อาการของแขนนี้คือการนวดแนวแขน
     แต่พลังงานที่เคยสั่งสมเข้ามา เช่นเรายกของหนัก จนปวดหลังปวดเอว ปวดขา มีอาการหมอนรองกระดูกเคลื่อนทับเส้นประสาทขา การนวดที่แนวเส้นแขนไม่สามารถนำพลังงานนี้ออกได้  เราจึงต้องกดไล่ขาในท่าท่านอนตะแคง เพื่อนำพลังงานนี้ออกนอกกายทางปลายเท้า
       5. ศีรษะเป็นระยางที่ยื่นออกนอกร่างกาย พลังงานที่สะเทือนเข้ามาจากศีรษะ จะไปสุดที่บ่า แล้วกระจายไปทุกทิศทาง อาการที่เกิดจากการขัดของลมในศีรษะ ไล่ลมได้จากการกดนวดคอ บ่า ไหล่

     การบำบัดอาการขัดของลม ตามอวัยวะต่างๆ ตั้งแต่ปลายเท้าจรดศีรษะ ใช้หลักการเดียวกันคือทำให้ลมไหลเวียนออกนอกร่างกายได้ 
     การกดนวดไล่ลม เมื่อกดลงบนแนวขาท่อนบน อาการขัดของลมจะคลายตัวออกได้ เริ่มตั้งแต่ลมร้อนออกที่ปลายเท้า ต่อไปก็ร้อนออกปลายเท้าร้อนออกปลายมือในเวลาเดียวกัน จนสุดท้ายก็ร้อนออกปลายเท้าร้อนออกปลายมือและร้อนออกศีรษะในเวลาเดียวกัน
        ดังนั้นการบำบัดอาการที่เกี่ยวกับ อาการปวดหัว ไมเกรน คอบ่าไหล่ สะบัก แขน มือ นิ้วมือ พลังงานที่สั่งสมมา จะเคลื่อนจากด้านบนไหลลงไปด้านล่าง พลังงานที่เคยเคลื่อนลงมาแล้ว เราจะนำพลังงานนี้ออกไปได้ โดยการกดขาแนวนอนตะแคง ( แนวเส้นข้างขาด้านใน ) เมื่อลมในแนวเส้นที่ขาโล่ง ลมที่มีความหนาแน่นมากกว่าที่หลังเอว แขน ก็จะแพร่ไหล ตามลงมาออกที่ปลายเท้า พลังงานที่สั่งสมเข้ามาก็จะค่อยๆคลาย ไหลออกไปกับลมที่เคลื่อนด้วย การบำบัดอาการที่เกิดจากตอบ่าไหล่ แขน ก็จะดีขึ้น และหายได้ในที่สุด
        แต่การบำบัดอาการที่เกิดกับอวัยวะด้านบนของร่างกาย อาการคอบ่าไหล่ แขน มือ นิ้วมือ อาการเหล่านี้ถ้าเราไม่แก้ไข พลังงานที่เคลื่อนลงมาที่ส่วนล่างของร่างกาย ก็เหมือนกับเวลาที่เราไปนวด เมื่อเราโดนกดนวดลงที่บ่า เราจะรู้สึกว่าบ่าเบาขึ้น แต่เราจะรู้สึกว่ามีอาการปวดเมื่อยหลังเอวขึ้นมาทันที  หลังจากนั้น2-3วัน บ่าที่นวดเบาไปแล้ว ก็จะกลับมาตึง ปวด เหมือนเดิมอีก
       นี่แหละ ธาตุลมในกายขัด ลมแค่เปลี่ยนจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง  ลมไม่ได้เคลื่อนไหลออกนอกกาย

วันจันทร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2560

อาการเกี่ยวกับแขน มือ นิ้ว ( ตอน 8 )

อาการเกี่ยวกับแขน มือ นิ้ว ( ตอน 8 )

            ระยะหลังนี้เจอแต่ผู้ป่วยที่มีอาการเกี่ยวกับด้านบนของลำตัว อาการที่เกี่ยวกับ ศีรษะ คอ หู ตา จมูก บ่า ไหล่ แขน มือ นิ้วมือ ปวดหลัง ปวดเอว สลักเพชร จากที่เคยกล่าวไว้แล้วว่า การนวดเส้นคือการนวดเส้นที่มีเลือดและลมแล่นอยู่ และการที่ลมในกายไม่ไหลเวียนออกนอกร่างกาย
           ลมในกายเราเพียงแต่ไหลเวียนเปลี่ยนจากตำแหน่งหนึ่งไปยังอีกตำแหน่งหนึ่ง และเมื่อลมไม่ไหลออกนอกร่างกาย พลังงานที่เคยสะเทือนเข้ามาในกาย ก็ไม่สามารถคลายออกไปจากร่างกายเราได้ เกิดการสั่งสมพลังงานในบริเวณแนวเส้นนั้น และแผ่กระจายพลังงานนั้นออกไปตามแนวเส้น แนวกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้ออวัยวะต่างๆ
          การที่กล้ามเนื้อเราแข็งแรง เส้นเลือดที่ฝังตัวอยู่ในแนวกล้ามเนื้อที่แข็งแรงเป็นมัดๆ ความยืดหยุ่นเส้นเลือดเสียไป การบีบตัวของเส้นเลือดที่จะส่งเลือดไปอวัยวะปลายทางด้อยลงไป เลือดจึงไปเลี้ยงปลายมือ ปลายเท้า และศีรษะได้น้อยกว่าปกติ จึงทำให้เกิดอาการชาปลายมือ ชาปลายเท้า และถ้าเลือดขึ้นไปเลี้ยงศีรษะไม่พอ มึนศีรษะ ระยะยาวมีผลทำให้เกิดความดันโลหิตสูง และสมองขาดเลือด
              เหมือนกับการที่เราไม่ได้ทานอาหาร จนเราหิว ก็ยังไม่ได้ทานอาหารเข้าไปอีก เราจะมีความรู้สึกว่าเราไม่มีแรงที่จะทำงาน ไม่สดชื่น ไม่กระปรี้กระเปร่า จะทำงาน จะยกของก็ไม่มีแรงยก ไม่มีแรงไปทั้งตัว ทั้งนี้เนื่องจากไม่มีอาหารมาย่อยที่กระเพาะอาหาร จึงไม่มีสารอาหารส่งผ่านจากลำไส้เล็ก เข้ามาสู่กระแสเลือด จึงทำให้เรารู้สึกไม่มีแรงไปทั่วร่างกาย
                ในกรณี มือชา เท้าชา เลือดเลี้ยงศีรษะไม่พอ เป็นกรณีที่ร่างกายเราได้รับอาหาร ได้มีการย่อยอาหารที่กระเพาะอาหาร และลำไส้เล็กนำสารอาหารที่ย่อยได้ส่งไปยังกระแสเลือด เพียงแต่การที่กล้ามเนื้อแข็งแรง ( เหมือนกล้ามเนื้อตอนที่เป็นตะคริว ) เส้นเลือดที่ฝังตัวอยู่โดนกดทับ ทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก ไหลเวียนผ่านไปยังอวัยวะปลายทางได้น้อยลง อวัยวะนั้นๆจึงได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ จึงเกิดอาการชา ตะคริวขึ้น ในเบื้องต้นถ้าเราคลายกล้ามเนื้อให้อ่อนลง เส้นเลือดก็จะลำเลียงเลือดไปยังอวัยวะปลายทางได้มากขึ้น อาการชา อาการตะคริวก็จะหายไปเอง
            แต่ในเส้นเลือดเรามีลมแล่นอยู่ด้วย ถ้าเราคลายให้ลมที่ขัดบริเวณแนวเส้นนั้นๆ ให้ไหลเวียนออกนอกกายจนเป็นปกติได้ ลมก็จะพาพลังงานที่สั่งสมเข้ามา ทั้งจากการใช้ชีวิตประจำวัน และจากอุบัติเหตุต่างๆ  เมื่อพลังงานคลายออกไปได้อาการเรื้อรังต่างๆก็จะหายไปเอง
   
              แล้ว เราจะแก้อาการนิ้วล็อกได้อย่างไร  ?

วันพฤหัสบดีที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

แขนยกไม่ขึ้น

แขนยกไม่ขึ้น

        3-4ปีผ่านมาแล้ว เพื่อนที่เคยเรียนหนังสือด้วยกันมา ปรึกษาในอาการที่เขาเป็นอยู่ เขาเป็นเจ้าของธุรกิจ กิจกรรมหนึ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือการตีกอล์ฟ ในขณะนั้นอาการป่วยหลักๆของเขาคือ ปวดที่แขนซ้าย ยกแขนข้างซ้ายไม่ขึ้น มีอาการปวดหลัง ปวดเอว อาการเหมือนหลังจะขาด ไปรักษาทั้งทางแผนปัจจุบัน และในแพทย์ทางเลือกอื่นๆ อาการที่เป็นอยู่ก็ไม่ดีขึ้น
        จนเมื่อได้ไปนวดไล่ลม ดึงลมที่ขัดอยู่ในแนวเส้นข้างขาด้านใน ให้ไหลเวียนออกนอกกาย ในครั้งนั้น ได้ไปนวดบำบัดอาการประมาณ10กว่าครั้งอาการจึงดีขึ้น จนอาการยกแขนไม่ขึ้นที่เกิดขึ้นในครั้งนั้นหายไป เพื่อนก็หายไปด้วย ไม่ได้นวดอีกเลยเป็นเวลาเกือบปี
       จนกระทั่งเมื่อ2เดือนที่ผ่านมา ก็เริ่มมีปัญหาแขนข้างซ้าย แขนเริ่มมีอาการล้า แขนชา ตึงยกไม่ขึ้นอีก จึงได้นัดให้ไปนวดบำบัดอีก อีกข้อมูลหนึ่งซึ่งเพื่อนได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า เมื่อตอนวัยรุ่นชอบการชกมวย เวลาซ้อมชกมวย จะใช้ต้นแขนซ้ายเป็นการ์ด โดยเฉพาะแขนท่อนบน บริเวณแนวข้อศอก อันเป็นที่มาของอาการยกแขนไม่ขึ้นในครั้งนี้
        ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น จากการที่เคยนวดบำบัดให้ลมในกายไหลเวียนออกนอกกายได้ โดยเฉพาะการกดนวดไล่ลมในแนวเส้นข้างขาด้านใน แนวบ่า แนวแขนในครั้งก่อนนั้น เป็นการบำบัดอาการขัดของลมที่เริ่มเกิดขึ้นใหม่ๆจากการไปตีกอล์ฟ  เป็นพลังงานที่เข้ามาที่แขนในห้วงเวลานั้น สั่งสมเก็บอยู่ด้านบนสุดใต้ผิวหนัง
      เราแก้อาการขัดของลมในขณะนั้นเป็นอาการที่พลังงานสะเทือนเข้ามาทางแขน จากการเหวี่ยงตีไม้กอล์ฟ พลังงานที่เข้ามาในขณะนั้นก็มาสั่งสมอยู่บริเวณโคนแขน แนวรักแร้ สะบัก แนวบ่า แนวร่องบ่ากับสะบัก การนวดบำบัดครั้งนั้นทำให้อาการเมื่อย ปวด ยกแขนไม่ขึ้น ปวดหลัง ปวดเอว ปวดหลังเหมือนหลังจะขาด อาการต่างๆก็ได้หายไปประมาณ1ปี  ใช้ชีวิตได้เป็นปกติโดยไม่ได้มีความจำเป็นต้องนวดต่ออีก จนกระทั่งอาการที่เคยบาดเจ็บจากการซ้อมต่อยมวย เมื่อสมัยวัยรุ่นประมาณ20ปีก่อนนั้นได้กำเริบขึ้นมา จากการที่เขาเคยใช้ท่อนแขนเป็นการ์ดรับหมัด พลังงานที่กระแทกเข้ามาก็พุ่งเข้าใส่บริเวณแขนท่อนบน ในขณะที่ซ้อมมวยอยู่นั้นเขาไม่เคยบำบัดโดยการคลายให้ลมไหลออกนอกกายเลย พลังงานจึงได้แต่เก็บสั่งสมเอาไว้
         จนระยะหลัง เมื่อเริ่มมีการนวดไล่ลมตั้งแต่เมื่อ2-3ปีที่แล้ว พลังงานที่สั่งสมอยู่ ก็ทยอยคลายตัวออกมา เริ่มจากอาการจากการตีกอล์ฟ และล่าสุดคืออาการยกแขนไม่ขึ้นอันเนื่องมาจากการใช้ท่อนแขน ตั้งการ์ดชกมวย

วันจันทร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

บำบัดสะโพก สลักเพชร โดยไม่ต้องกดนวด

บำบัดสะโพก สลักเพชร โดยไม่ต้องกดนวด

            การกดนวดไล่ลม เพื่อให้ลมในกายไหลออกนอกกายได้ แนวท่าหลักๆก็คือแนวการนวดที่เคยได้เรียนรู้มา คือแนวนอนคว่ำ นอนหงาย นอนตะแคง ท่านั่ง และนวดบนศรีษะ การนวดทั้ง5ท่านี้ ทุกๆท่าทำให้ลมไหลออกนอกกายได้ เพียงแต่การนวดท่านอนคว่ำ และนอนตะแคง เราสามารถพลิกแพลงใช้เข่าหรือเท้า แทนการนวดโดยใช้มือ หรืออุ้งมือที่ให้น้ำหนักการนวดที่น้อยกว่า พลังที่ใช้ในการทะลุทะลวงจึงมีมากกว่า การนวดไล่ลมจึงเน้นเริ่มต้นที่การนวดท่านอนคว่ำและท่านอนตะแคงก่อน สำหรับท่านวดท่านอนตะแคง เส้นที่เน้นนวดคือเส้นข้างขาด้านใน เส้นหน้าแข้งด้านใน ประตูลมบริเวณตาตุ่มใน แนวร่องนิ้วโป้งและนิ้วชี้บริเวณฝ่าเท้า
      ทำไมต้องกดนวดที่ขาก่อน
    การที่เราเริ่มกดนวดด้วยท่านอนตะแคง บริเวณข้างขาท่อนบนก่อน เพื่อกระทุ้งเปิดทางเดินของลมในเส้นนี้ ให้ลมไหลเวียนออกนอกกาย ออกที่หัวเข่า ออกที่ตาตุ่ม ออกที่กระดูกเท้า ออกที่ข้อนิ้วเท้า และวิ่งร้อนออกปลายสุดของเท้าคือนิ้วเท้า
    เมื่อเราดีงลมที่ขัดอยู่ในเส้นข้างขาด้านในออกไปที่ข้อเข่า ตาตุ่ม จนที่สุดร้อนไปออกที่ปลายเท้า จะทำให้ความหนาแน่นของลมที่ขัดบริเวณนั้นลดลง คือความดันของลมที่ไปกดทับ บีบกล้ามเนื้ออวัยวะแนวนี้ก็ลดลง
     ทำให้ลมที่อยู่เหนือแนวเส้นนี้ตั้งแต่บริเวณขาหนีบ  แนวเอว ( กระดูกสันหลังช่วงเอว ข้อที่3-4-5 ) แนวเอวตัดขวาง แนวหลังใต้แนวสะบัก แนวร่องสะบักกับกระดูกสันหลัง สะบัก แนวแขนท่อนบน แนวแขนท่อนล่าง ข้อมือ มือ นิ้วมือ แนวบ่า แนวต้นคอ ในศรีษะ แนวต่างๆนี้เป็นแนวเส้นที่อยู่ส่วนบนของร่างกาย เมื่อลมไหลออกได้ที่ขา ความหนาแน่นของลมที่ขาน้อยลง ความดันของลมที่อยู่ในแนวเส้นลดลงมาอย่างรวดเร็ว จึงทำให้ลมที่ขัดอยู่เหนือจุดที่กดนวด คือตั้งแต่แนวขาหนีบขึ้นไป แนวเอว ไล่ขึ้นไปจนถึงแนวศรีษะ ลมในแนวนี้จะแพร่ ไหลลงไปตามแนวด้านล่างแนวที่กดนวด ทำให้ลมที่อยู่ด้านบน เหนือจุดที่กดนวดมีการเคลื่อนไหลลงมาตามแนวเส้นนี้ เมื่อลมไหลลงมาถึงจุดที่กดนวด ลมที่ร้อนออกด้านล่าง ปลายเท้า มีแรงเฉื่อยดึงลมที่แพร่ไหลลงมาจากแนวด้านบน ให้ไหลออกไปนอกกายได้
       เมื่อเป็นเช่นนี้ ในขณะที่เรากดนวดแนวเส้นข้างขาด้านในนี้ ลมที่วิ่งร้อนออกปลายเท้า ก็จะลากลมที่ขัดอยู่บริเวณกระดูกสันหลัง เอว ข้อที่ 3- 4- 5 เบาลงมา โดยที่เรายังไม่ได้กดนวดแนวด้านบนเลย
      เมื่อลมวิ่งร้อนออกปลายเท้า ลมที่ขัดบริเวณกระดูกสันหลัง เอว ข้อที่ 3- 4- 5 ก็ลดลง ส่งผลให้ความดันลมที่ขัดบริเวณนี้ลดลงมาด้วย เมื่อลมหรือความดันลมที่ไปกดทับหมอนรองกระดูกลดลงมา หมอนรองกระดูกที่เคยเคลื่อนไปกดทับเส้นประสาทขา ก็จะถอยกลับเข้าที่
    อาการหมอนรองกระดูกเคลื่อนทับเส้นประสาทขา ก็จะค่อยๆ ทุเลา เบาลง และหายได้ในที่สุด ดังนั้น แนวเส้นประสาทขาที่โดนหมอนรองกระดูกเคลื่อนไปกดทับ อาการแปลบ ปวด ช็อต ตามแนวเส้นประสาทที่เราเคยมีอาการอยู่ ก็จะหายไปเองโดยอัตโนมัติ
    แค่ลมในแนวเส้นข้างขาด้านในนี้เคลื่อนไหลร้อนออกไปที่ปลายเท้าได้ อาการขัดที่สะโพก สลักเพชร ก็เบาลงไปกว่า 50 %แล้ว
       แล้วถ้าลมในแนวเส้นข้างขาด้านในนี้เคลื่อนไหลร้อนออกไปที่ปลายเท้า และในขณะเดียวกันลมร้อนก็ไหลขึ้นด้านบนของร่างกาย ตามแนวผ่านจุดที่กดนวด วิ่งร้อนไปถึงแนวกระดูกสันหลังเอว ข้อ ที่ 3-4-5  อาการขัดที่สะโพก สลักเพชร ก็เบาลงไปกว่า 100 % โดยที่ราไม่ต้องไปกดนวดที่สลักเพชร
       ทั้งนี้เพราะ หมอนรองกระดูก ไม่เคลื่อนไปกดทับเส้นประสาทขา  อาการที่เส้นประสาทขาโดนกดทับ เคยทำให้เราปวด แปลบ ชา ร้าวลงมาที่สะโพก สลักเพชร แนวข้อพับเข่าด้านนอก แนวหลังตะตุ่มนอก แนวสันเท้า  ตลอดจนไปถึงแนวนิ้วก้อยเท้า อาการนี้จะทุเลา แล้วหายไปเอง

ลองอ่านดูเรื่องนวดครับ ส่งต่อได้ครับ
www.amazingthaimassage.blogspot.com

เบอร์โทร
Dtac 086-775-7333.
True H 083-046-7409

Line ID
  thiti.d.com
  หรือเบอร์โทร 0867757333

FaceBook ----  Thiti
 Suppachokkarnkul     /  ธิติ ศุภโชติการกุล

FaceBook Page  นวดไล่ลม

FaceBook Group  นวดไล่ลม

ธิติ ศุภโชติการกุล 81/494. มบ.วิเศษสุขนคร ซ8 ถ.ประชาอุทิศ ซ79 แขวง-เขตทุ่งครุ กท 10140

วันอังคารที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

8. ทำไมรักษาอาการเจ็บป่วย นานเป็นปี

8. ทำไมรักษาอาการเจ็บป่วย นานเป็นปีก็ยังไม่หาย

           ในบ้านหลังหนึ่งๆ เมื่อสร้างบ้านเสร็จ ทุกๆห้องล้วนเป็นห้องว่างเปล่า ไม่มีสิ่งของอยู่ด้านใน เมื่อเราเอาสิ่งของต่างๆเข้ามาไว้ในบ้าน เราวางที่ไหน ที่ตรงนั้นก็ไม่เป็นที่ว่างเปล่าอีกต่อไป เราจะวางสิ่งของชิ้นอื่นๆซ้ำในตำแหน่งเดิมก็ไม่ได้แล้ว นอกจากจะวางเทินให้สูงขึ้นไปเรื่อยๆ วางสูงจนฐานที่ตั้งด้านล่างรับไม่ไหว สิ่งของที่วางเทินไว้ก็จะยุบ พังทลายลงมา
             ร่างกายเราก็เหมือนกัน เมื่อแรกที่เราเกิดมา ธาตุทั้งสี่ของร่างกายยังปกติอยู่ ( บางคนธาตุพิการมาแต่กำเนิดก็มี ) เมื่อเราอายุมากขึ้นสมดุลของธาตุต่างๆเริ่มเสียไป
   ธาตุดิน เริ่มมีปัญหาคือ กล้ามเนื้อแข็ง เกร็ง มีพังผืด เส้นโลหิตตีบ-ตัน  ฯลฯ ปวดแข้งปวดขา
   ธาตุน้ำ เริ่มมีปัญหา อาการโลหิตเป็นพิษ ไขมันในกระแสเลือดสูง น้ำเหลืองไม่ดี ฯลฯ
   ธาตุลม เริ่มมีปัญหา การไหลเวียนลมในกายเริ่มขัด ลมไม่สามารถไหลเวียนออกตามรูขุมขน
   ธาตุไฟ เริ่มมีปัญหา มีอาการร้อนๆหนาวๆ อาการปวดแสบปวดร้อน ฯลฯ
              ที่เรารักษาอาการป่วยไข้ในปัจจุบัน รวมทั้งการกดจุด การนวดเส้น การนวดแก้อาการ ส่วนใหญ่ก็จะเน้นแก้ไปที่ธาตุดินและธาตุน้ำ เพราะสัมผัสได้ เห็นได้ด้วยตา ตรวจวัดได้ด้วยเครื่องมือทางการแพทย์ปัจจุบัน
      ธาตุลม ธาตุไฟ เป็นธาตุที่มองไม่เห็น แต่สัมผัสได้ ผู้ป่วยหลายๆคนจะมีความรู้สึกว่า มีลมเคลื่อนอยู่ภายในร่างกาย ตามอวัยวะต่างๆ มีอาการลมแน่นภายในช่องท้อง มีอาการคันเหมือนมดเดินใต้ผิวหนัง มีอาการลมออกหู ลมออกช่องคลอด ผายลม เรอ หาว ไอ จาม อาการต่างๆนี้ เป็นอาการที่แสดงให้เห็นตัวตนของลมในกายเราว่า มีลมในกายเรา และถ้าลมในกายเราไหลออกนอกกายได้ เราก็จะมีความเบากายขึ้นมาเอง
      เมื่อลมในกายไหลเวียนไม่ดี  เราก็จะรู้สึกว่าเรามีความร้อน ร้อนผ่าวๆ ปวดแสบปวดร้อนอยู่ในตัวเรา จะทำให้เรารู้สึกว่าตัวเราร้อนกว่าอุณหภูมิร่างกายปกติ แต่เมื่อวัดด้วยปรอท เราไม่มีไข้

           เราต้องลองย้อนไปดู ว่าที่เรารักษาอาการต่างๆมานานนับปี เรื้อรัง เราเคยแก้ไขสมดุลของลมในกายหรือไม่ จากที่เคยกล่าวว่าถ้าเราสามารถบำบัดให้ลมไหลเข้า-ออกนอกกาย ตามรูขุมขน ตามข้อกระดูกต่างๆได้ ลมที่ไหลเข้ามาในกาย เข้ามาพร้อมกับพลังงาน ที่เกิดจากการกระแทกเข้ามาในอวัยวะต่างๆ พลังงานค่อยๆซึมซับ สั่งสม เก็บเข้ามาในร่างกายเรา ตามอวัยวะต่างๆ พลังงานที่เข้ามาไม่มีรูปร่าง ไม่มีสัณฐาน แต่มีมวลมีน้ำหนัก เมื่อสั่งสมพลังงานมากๆ นานจนร่างกายเรา ไม่สามารถจะรับพลังงานใหม่ๆเข้ามาได้อีก ทำให้เส้นตึงแขน-ขาตึง บวม
    พลังงานที่แน่นอยู่ในแนวเส้นนี้ ส่งผลให้ความยืดหยุ่นของแนวเส้นไม่มี เส้นบวม พองโต
     ระหว่างข้อกระดูกยึดกัน ไม่ยืดหยุ่น งอข้อลำบาก หลังตึง หลังค่อม นิ้วล็อก ขาโกร่งงอ เมื่อพลังงานสั่งสมในแนวเส้นมากขึ้น จะทำให้ข้อกระดูก ท่อนกระดูก บิดเบี้ยว เสียรูป เสียสภาพไป เมื่อกระดูกเสียสภาพไปแล้วเราไม่สามารถ แก้ไขให้เนื้อกระดูกกลับมามีสภาพดังเดิม ข้อกระดูกสันหลังที่โดนบดจนแตก ยุบ หรือขาที่โกร่งงอไปแล้ว ก็จะเสียสภาพไปเลย
    ในกรณีที่กระดูกเสียสภาพไปแล้ว การปรับสมดุลให้ลมไหลเวียนเข้า-ออกนอกกายได้เป็นปกติ ก็จะเป็นเพียงการแก้ไข หยุดไม่ให้กระดูกเสียสภาพมากขึ้นกว่าเดิม กระดูกที่โกร่งงอแล้วก็จะโกร่งงอเหมือนเดิม ไม่ตึงไม่งอมากกว่าเดิมเท่านั้นเอง
     ร่างกายเรา เมื่อบาดเจ็บเราไม่ได้แก้ไขให้ลมไหลเวียนเข้า-ออกนอกกายได้ตามปกติ พลังงานที่เข้ามาสั่งสมในกายเรา ตามอวัยวะที่พลังงานเข้ามา ก็แน่นขึ้นเรื่อยๆ ความตึงในแนวเส้นก็จะทำให้สัณฐาน รูปร่างของกระดูกเสียสภาพไป ยิ่งนานเท่าใดก็ยิ่งเสียสภาพมากขึ้นเท่านั้น
    เปรียบเหมือนห้องเก็บของ เรามีแต่เอาของเข้าไปเก็บ ถ้าเราเก็บเข้าอย่างเดียว ไม่เคยเอาสิ่งของที่เราเอาเข้าไปออกมาเลย สักวันหนึ่งห้องนั้นก็จะเต็ม ไม่สามารถใส่ของใหม่เข้าไปได้อีก ขึ้นอยู่กับว่าเราทยอยเก็บเข้าไปทีละนิด  หรือว่าเก็บเข้าไปครั้งละมากๆ และขึ้นอยู่กับว่าเก็บเข้าไปนานเท่าไร สักวันหนึ่งก็ต้องเต็ม

    แล้วนิ้วล็อค เกิดจากอะไร  ?

วันศุกร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

พลังงานที่มากระแทกร่างกายแล้วไปไหน ( ตอน 7.12.4 )

พลังงานที่มากระแทกร่างกายแล้วไปไหน ( ตอน 7.12.4 )

คุณเคยไหม ลื่นล้ม ก้นจ้ำเบ้า
     ทุกย่างก้าวของการเดิน ทุกๆครั้งของการกระโดด และทุกๆครั้งที่ก้นของคุณกระแทกพื้น ..... จะมีพลังงานสะเทือนเข้ามาในร่างกายตามแนวเส้น แนวเส้นหลัง ตามแนวกระดูกสันหลัง ....
      การลื่นล้ม ก้นกระแทก เป็นการสะเทือนเข้ามาของพลังงานที่ไม่อยู่ในสภาวะปกติ การกระแทกทำให้เราบาดเจ็บทันที เกิดอาการลมขัดในแนวเส้นหลัง
      เจ็บที่ก้นกบที่โดนกระแทก ก็คือการเจ็บที่กล้ามเนื้อที่โดนกระแทก ก็คือธาตุดิน ธาตุน้ำที่โดนกระทบ
      ส่วนพลังงานที่สะเทือนเข้าไปจากก้นกบ  ผ่านไปเอว  ตามแนวกระดูกสันหลัง ต้นคอ ศรีษะ   พลังงานที่เข้าไปนี้ ไหลไปกับลมที่เคลื่อนอยู่ในกาย ตามแนวเส้น เมื่อพลังงานที่กระแทกเข้าไปหยุดตรงไหน ก็จะทำให้การไหลเวียนของลมบริเวณนั้นหยุด เกิดอาการขัดขึ้นมา  ลมไหลเวียนผ่านจุดนี้ไม่ได้ พลังงานที่เข้ามาก็จะฝังตัวเก็บอยู่ในแนวเส้น พลังงานไม่มีรูปร่าง ไม่มีปริมาตร แต่มีมวลน้ำหนัก ถ้าเราไม่ได้แก้ไขให้การไหลเวียนของลมในแนวนี้ ให้กลับมาไหลเวียนได้เป็นปกติ ร่างกายยังคงสั่งสมพลังงานนี้ไว้ ต่อให้เรารักษาอาการบวม ปวดในบริเวณแนวสันหลังนี้ให้หายไป แต่อาการขัดของลม หรือพลังงานที่ออกไปไม่ได้ก็จะฝังเก็บอยู่กับเราตลอดไป
      เมื่อใดที่เรามีการนวด กดลงบนแนวเส้นหลังติดกระดูก ถ้าเรากดนวดลงบนตำแหน่งที่ลมหรือพลังงานขัดอยู่ เราจะมีอาการปวดมาก แต่ตำแหน่งอื่นๆในแนวกระดูกสันหลังจะไม่ปวด จะเบาสบาย
      ถ้าเราไม่บำบัดให้ลมไหลเวียนออกนอกกาย ปล่อยให้อาการเรื้อรัง จะมีอาการปวดขัดตรงแนวก้นกบ กระเบนเหน็บ ปวดหลังปวดเอว ลมแน่นท้อง กรดไหลย้อน  แน่นจุกเสียดลิ้นปี่ หลังค่อม กลืนน้ำลายลำบาก หายใจยาก ปวดมึนท้ายทอย มึนหน้าผาก
        นวดไล่ลม เพื่อทำให้ลมในกายไหลเวียนออกนอกกายได้ จะทำให้พลังงานที่สะเทือนเข้ามาในกายเราตามแนวเส้น ไหลออกนอกร่างกายตามข้อ ตามรูขุมขนต่างๆในร่างกาย
     
            การบาดเจ็บในลักษณะที่กล่าวมานี้ เป็นอาการที่เกิดขึ้นตามแนวเส้นหลัง เป็นพลังงานที่สะเทือนเข้ามาบริเวณก้น ก้นกบ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแนวเส้นหลังติดกระดูกสันหลัง ที่เริ่มต้นมาตั้งแต่ฝ่าเท้า ส้นเท้า กลางปลีน่อง ขาท่อนบน ก้นกบ กระเบนเหน็บ แนวเอว  แนวเส้นข้างกระดูกสันหลัง แนวร่องบ่า –สะบัก แนวต้นคอ บนศีรษะ 

     ดังนั้น การบำบัดเราจึงเน้นนวดที่ท่านอนคว่ำ

พลังงานที่มากระแทกร่างกายแล้วไปไหน ( ตอน 7.12.2 )

พลังงานที่มากระแทกร่างกายแล้วไปไหน ( ตอน 7.12.2 )

นั่งทำงาน นั่งขับรถนานๆ
      ..... จนมีอาการชาลงขา ปวดขัดตรงแนวก้นกบ กระเบนเหน็บ ปวดหลังปวดเอว ลมแน่นท้อง กรดไหลย้อน แน่นจุกเสียดลิ้นปี่ กลืนน้ำลายลำบาก หายใจยาก ปวดมึนท้ายทอย มึนหน้าผาก
       การสั่งสมพลังงานที่มาจากแนวหลังติดกระดูก ( แนวนอนคว่ำ )  แนวนี้จากล่างขึ้นบน เริ่มต้นตั้งแต่ ฝ่าเท้า ส้นเท้า เอ็นร้อยหวาย ปลีน่อง ขาท่อนบน แก้มก้น ก้นกบ กระเบนเหน็บ แนวเอว แนวเส้นข้างกระดูกสันหลัง แนวร่องบ่า –สะบัก แนวต้นคอ บนศีรษะ
        สำหรับอาการที่เรานั่งมาก นั่งขับรถนานๆ ก็เป็นอาการ ที่เกิดจากการสั่งสมพลังงานที่มาจากแนวหลังติดกระดูก แต่กรณีนี้ เริ่มต้นตั้งแต่ ขาท่อนบน ตรงขึ้นไปแก้มก้น ก้นกบ กระเบนเหน็บ แนวเอว ค่อยๆตึงขึ้นไปแนวเส้นข้างกระดูกสันหลัง แนวร่องบ่า –สะบัก แนวต้นคอ บนศีรษะ
    เหตุแห่งอาการเกิดจากการที่เรานั่ง น้ำหนักตัวเรากดทับลงมาที่ต้นขาท่อนบน แก้มก้น ก้นกบ กระเบนเหน็บ เมื่อมีน้ำหนักกดทับลงมา ก็จะมีพลังงานสะท้อนกลับมาในกายเรา ตามแนวเส้นหลัง ค่อยๆสะสมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นวัน เป็นเดือน เป็นปี พลังงานค่อยๆสั่งสมเพิ่มขึ้นไปด้านบนของแนวเส้น
     เป็นอาการร่วมกันกับการที่เรายืนมาก เดินมาก ต่างกันตรงจุดเริ่มต้นเท่านั้น แต่ปลายทางเหมือนกันคือขึ้นไปถึงศีรษะ
      จากการที่ขาท่อนบนโดนกดทับ การไหลเวียนของเลือดและลม ที่จะไหลลงไปที่ปลายเท้าก็โดนกระทบไปด้วย ทำให้เกิดการอาการตะคริวขึ้นที่น่อง ชาที่เท้า ฝ่าเท้า

              การบำบัดอาการนี้ เน้นที่ท่านอนคว่ำ

พลังงานที่มากระแทกร่างกายแล้วไปไหน ( ตอน 7.12.3 )

พลังงานที่มากระแทกร่างกายแล้วไปไหน ( ตอน 7.12.3 )

ถ้าคุณเคยกระโดดลงมาจากที่สูง เมื่อฝ่าเท้าถึงพื้น .... 
       การกระโดดลงมาจากที่สูง เช่น กระโดดลงมาจากระเบียงบ้าน กำแพงบ้าน กระโดดลงมาจากต้นไม้ ทุกๆครั้งที่ฝ่าเท้าแตะพื้น จะมีพลังงานสะเทือนเข้ามาจากฝ่าเท้า ยิ่งกระโดดจากที่สูงมากเท่าใด พลังงานที่สะเทือนเข้ามาก็จะเข้ามามากขึ้นเป็นเงาตามตัว เช่นกระโดดจากที่สูง 2เมตร พลังงานสะเทือนขึ้นมาจากฝ่าเท้า อาจจะสูงแค่ข้อหัวเข่า  ถ้าเรากระโดดจากที่สูง 4เมตร  พลังงานสะเทือนขึ้นมาจากฝ่าเท้า อาจจะสูงแค่ก้นกบหรือแนวกระเบนเหน็บ  แต่ถ้าเรากระโดดจากที่สูง ประมาณ 6เมตร  พลังงานก็สะเทือนขึ้นมาจากฝ่าเท้า อาจจะสูงถึงกลางหลัง หรือศรีษะ
          ทุกๆการก้าวเดิน ทุกๆก้าวที่เราวิ่ง ทุกๆการกระโดด เมื่อฝ่าเท้าลงมาสัมผัสกับพื้น จะมีพลังงานสะเทือนเข้ามาในกาย ขึ้นมาจากฝ่าเท้า ส้นเท้า เอ็นร้อยหวาย กลางปลีน่อง ขาท่อนบน กระเบนเหน็บ เอว  แนวเส้นติดกระดูกสันหลัง แนวบ่า ต้นคอ ท้ายทอย ศีรษะ
        พลังงานที่สะเทือนเข้ามานั้นจะเคลื่อนไปตามแนวเส้น ( การนวดเส้น คือการนวดเส้นที่มีเลือดและลมเล่นอยู่ ) พลังงานเคลื่อนเข้ามากับลมที่ไหลเวียนในกาย ถ้าสะเทือนเข้ามามาก ทิศทางของพลังงานที่เข้ามาก็จะสูงมากขึ้น จากฝ่าเท้า ไปจนถึงศรีษะ อาการบาดเจ็บจากพลังงานที่เข้ามา สุดตรงไหน พลังงานก็จะฝังตัวอยู่ตรงนั้น แต่เราไม่เห็นพลังงานนั้น เครื่องมือต่างๆก็ไม่สามารถตรวจวัดได้
       จะมีแต่อาการบาดเจ็บที่เรารับรู้ได้ในขณะที่เรากระโดดลงมาแล้ว มีอาการปวด บวม ขยับไม่ได้ รักษาอาการบาดเจ็บนั้นๆเป็นแรมเดือน เมื่อกล้ามเนื้อที่อักเสบจากการที่กระแทกหายอักเสบ อาการบวมต่างๆยุบลง การเดินการขยับเริ่มกลับมาเป็นปกติ แต่พลังงานที่สะเทือนเข้ามายังไม่ได้คลายออกไป
     เวลาผ่านไป 10ปี 20ปี 30ปี ถ้าเรายังไม่คลายพลังงานนี้ออกมา จะทำให้เกิดอาการตามแนวเส้นนี้ ทำให้มีอาการตั้งแต่ ฝ่าเท้าชา รองช้ำ ตะคริวขึ้นที่น่อง ขาไม่มีแรง เส้นเลือดขอด  ปวดเอว ปวดหลัง ลมแน่นท้อง กรดไหลย้อน  แน่นจุกเสียดลิ้นปี่ กลืนน้ำลายลำบาก หายใจยาก ปวดมึนท้ายทอย มึนหน้าผาก

              การบำบัดอาการนี้ จะเน้นที่ท่านอนคว่ำ ( เส้นหลัง )

ธิติ ศุภโชติการกุล
81/494.มบ.วิเศษสุขนคร ซ8 ถ.ประชาอุทิศ ซ79
 แขวง-เขตทุ่งครุ กท 10140

Dtac 086-775-7333. True H 083-046-7409

Line ID thiti.d.com   หรือเบอร์โทร 0867757333

FaceBook ---- Thiti Suppachokkarnkul

วันพฤหัสบดีที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

พลังงานที่มากระแทกร่างกายแล้วไปไหน ( ตอน 7.12.1 )

พลังงานที่มากระแทกร่างกายแล้วไปไหน ( ตอน 7.12.1 )

    คุณเคยยืนนานๆ  เดินนานๆ....    จนมีอาการฝ่าเท้าชา รองช้ำ ตะคริวขึ้นที่น่อง ขาไม่มีแรง เส้นเลือดขอด ปวดเอว ปวดหลัง ลมแน่นท้อง แน่นจุกเสียดลิ้นปี่ กลืนน้ำลายลำบาก หายใจยาก ปวดมึนท้ายทอย มึนหน้าผาก
 
            ถ้าคุณเคยบาดเจ็บในลักษณะที่กล่าวมานี้ อาการที่ระบุมานี้เป็นอาการโดยรวม เป็นอาการที่เกิดขึ้นตามแนวเส้นหลัง  ( นวดท่านอนคว่ำ ) เริ่มต้นมาตั้งแต่ฝ่าเท้า ส้นเท้า กลางปลีน่อง ขาท่อนบน ก้นกบ กระเบนเหน็บ แนวเอว  แนวเส้นข้างกระดูกสันหลัง แนวร่องบ่า –สะบัก แนวต้นคอ บนศีรษะ
      เป็นอาการที่เริ่มต้นจากส่วนล่างของร่างกาย ค่อยๆสั่งสมพลังงานเข้ามาทีละนิด ทุกๆการรับรู้ที่มาจากด้านล่าง ทุกๆการก้าวเดินจะมีพลังงานที่สะเทือนเข้ามาในกาย
       ทุกๆครั้งที่เรายืนเมื่อน้ำหนักตัวเรากดลงที่ส้นเท้า ฝ่าเท้าตามแรงดึงดูดของโลก จะมีพลังงานซึมซับเข้ามาในกายเรา ทีละนิด ยิ่งนานมากเท่าไร พลังงานก็จะซึมซับเข้ามามากขึ้น
         เมื่อพลังงานซึมซับเข้ามาในกาย จะเคลื่อนไหลไปตามแนวเส้น ( การนวดเส้น      คือการนวดเส้นที่มีเลือดและลมแล่นอยู่ ) พลังงานจะเคลื่อนไหลไปตามลมที่เคลื่อนไปมาในร่างกาย ค่อยๆสั่งสมตั้งแต่ฝ่าเท้าขึ้นมา ส้นเท้า กลางปลีน่อง ขาท่อนบน ก้นกบ กระเบนเหน็บ แนวเอว  แนวเส้นข้างกระดูกสันหลัง แนวร่องบ่า –สะบัก แนวต้นคอ จนสุดท้ายคือศีรษะ จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี เป็น20 ปี 30ปี ทุกๆการก้าวเดิน การยืน มีพลังงานเข้ามาร่างกายเราตลอด
         เราได้เคยนำพาพลังงานที่ซึมซับเข้ามาในกายเรา ให้เคลื่อนไหลออกจากร่างกายเราหรือไม่ การที่เราไม่เคยนำพาพลังงานนี้ให้เคลื่อนออกไปจากกายเรา เปรียบเสมือนกับลูกโปร่ง ที่เราเป่าจนขนาดลูกโปร่งค่อยๆโตขึ้น ยิ่งโตมากเท่าไร ความดันภายในลูกโปร่งก็มากขึ้นเป็นเงาตามตัว เช่นเดียวกัน
      พลังงานที่สั่งสมเข้าไปในร่างกายตามแนวเส้น เมื่อเข้าแล้วออกนอกกายไม่ได้ ซึมซับเข้าไปมากๆ  จะเริ่มมีอาการชาเริ่มจากฝ่าเท้า อาการปวดส้นเท้า หรือรองช้ำ ตะคริวขึ้นที่น่อง เส้นเลือดขอด ปวดเอว อาการลมแน่นท้อง ( กรดไหลย้อน ) ปวดหลังแนวกระดูกสันหลัง ปวดเมื่อยต้นคอ ท้ายทอย มึนหน้าผาก
       อาการเหล่านี้จะค่อยเป็นค่อยไป ส่งผลในระยะยาว สั่งสมจากฝ่าเท้าขึ้นไปเรื่อยๆจนถึงศรีษะ ซ้ำแล้วซ้ำอีก เมื่อใดที่เรานำพาพลังงานที่สั่งสมอยู่นี้ ให้ไหลเวียนออกไปกับลม ตามทวาร ตามข้อต่างๆ ตามรูขุมขนทั่วร่างกายได้ เมื่อนั้นอาการต่างๆนี้ก็จะค่อยๆคลายตัว เบาขึ้นจากส่วนล่างคือส่วนของขา ส่วนของแขน และศรีษะตามลำดับ

         การบำบัดอาการนี้เราจะเน้นที่ท่านอนคว่ำเป็นหลัก

วันพฤหัสบดีที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2560

กรรมสัมพันธ์

กรรมสัมพันธ์
 
        เคยได้ยินไหมว่า หมอคนโน้นเก่ง หมอคนนี้เก่ง ใครป่วยไข้อะไร ถ้าได้ไปให้รักษา อาการป่วยไข้นั้นก็หาย
        จริงๆแล้ว หมอทุกคนเก่งหมด คนที่จะรักษา บำบัดอาการป่วยไข้ให้คนอื่นได้ ต้องมีต้นทุนอยู่ที่ตัวเอง มีทั้งความรู้ที่ได้จากการเรียนรู้มาในภพชาติปัจจุบันนี้  อีกทั้งปัญญา ความรู้ที่มาจากบุญบารมีเดิมๆ ฌานการรักษาที่ติดตามมาจากภพชาติก่อนๆ ทำให้บำบัดรักษาอาการที่เรื้อรังบำบัดไม่ได้ ให้หายได้
        ความรู้หรือปัญญาในอดีต ที่ติดตามมาในภพชาติปัจจุบันนี้ มีความสำคัญมาก เป็นภูมิความรู้เฉพาะตน เพียงแค่จะเริ่มใช้ความรู้นี้ ปัญญาความรู้เรื่องนี้ก็จะผุดขึ้นมา ให้เรารู้ ให้เราเข้าใจ แล้วนำภูมิปัญญานี้ไปต่อยอดกับความรู้ต่างๆที่เราได้เรียนรู้มา
        เมื่อร่างกายเราประกอบด้วยธาตุต่างๆคือธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ การเจ็บไข้ได้ป่วยของคนเรา จริงๆแล้วคือ ความไม่สมดุลของธาตุทั้งสี่ ทั่วไปแล้วเราจะได้รับการบำบัดเพียงแค่ธาตุดิน ธาตุน้ำเท่านั้น
        ธาตุลม ธาตุไฟ เป็นธาตุที่เราจับต้องไม่ได้ เครื่องไม้เครื่องมือต่างๆก็ไม่สามารถตรวจวัดได้ ก็จะมีแต่เพียงการนวด และการนวดนั้นก็ต้องเน้นทำให้ลมไหลเวียนออกนอกกายเราให้ได้  ไม่ใช่นวดแล้วลมไหลเปลี่ยนจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งในร่างกาย ซึ่งจะทำให้ร่างกายเราบาดเจ็บเรื้อรัง

         ที่สำคัญอีกอย่างคือ ผู้ป่วยและผู้รักษา มีกรรมที่สัมพันธ์ร่วมกันไหม ถ้าไม่มีกรรมที่สัมพันธ์ร่วมกัน ก็จะไม่มีโอกาสที่จะได้พบเจอกัน หรือมี โอกาสพบเจอกันแต่ไม่ได้รักษากัน  เช่นผู้ป่วยและผู้รักษาได้รับรู้กัน มีคนแนะนำ ให้รู้จักกัน แต่มีเหตุให้ ไม่ได้นวดรักษากัน เพราะเหตุผลต่างๆเช่น
        กลัวเจ็บ ทั้งๆที่ทุกวันนี้ก็เจ็บเรื้อรัง เจ็บทุกวันอยู่แล้ว
        ผู้ป่วยหญิงอยากได้ผู้นวดเป็นผู้หญิง เหตุผลคือไม่เคยนวดกับผู้ชาย ทั้งที่นวดกับผู้หญิงแล้วหลายครั้งก็ยังไม่หาย
        ไม่ว่างไม่มีเวลา ไม่มีเงิน
  ( เวลาป่วยหนักๆ ไม่ว่าง ไม่มีเงิน ต้องหยุดงานไปรักษา ค่าเดินทางไปรักษาเป็นพันเป็นหมื่นยอมควัก ผู้รักษาเป็นผู้ชายก็ยอมให้ผู้ชายรักษา เวลานวดเจ็บก็จะยอมทน เพราะทนอาการปวดไม่ไหวแล้ว )

         อีกด้านหนึ่งผู้ป่วยและผู้รักษา มีกรรมที่สัมพันธ์ร่วมกันไหม แล้วเจ้ากรรมนายเวรยอมอโหสิกรรมไหม
         ปกติแล้วถ้ากรรมที่สัมพันธ์กัน เคยเกื้อกูลกันมาในอดีต เมื่อถึงเวลาจะมีเหตุให้ได้เจอกัน มาช่วยเหลือกัน  เช่นผู้ป่วยกับผู้รักษาต่างคนต่างอยู่ คนละที่  จู่ๆให้ได้รู้จักกัน มาเจอกัน และต้องเป็นช่วเวลาที่เจ้ากรรมนายเวรในกายอโหสิกรรมให้แล้วนะครับ การรักษาจึงจะสัมฤทธิ์ผล
            เราจะเคยได้ยินว่า มีผู้รักษาอาการที่เก่งใครไปให้รักษาก็หาย  แต่เมื่อเราไปได้รับการรักษาจากหมอคนนั้น อาการก็ยังเหมือนเดิม ไม่ได้ดีขึ้น ที่เป็นเช่นนี้เพราะผู้เจ้ากรรมนายเวรในกายเรายังไม่อโหสิกรรมให้เรา ยังเบียดเบียนเราอยู่ ต่อให้หมอผู้รักษาเรานี้กรรมสัมพันธ์กับเรา ก็จะยังรักษาเราให้หายไม่ได้ จนกว่าเราจะน้อมบุญกุศลที่มีอานุภาพเพียงพอไปให้เจ้ากรรมนายเวรในขณะนั้น ให้เขายินยอม อโหสิกรรมให้เรา การรักษาถึงจะสัมฤทธิ์ผล
       ดังนั้นการรักษาจะส่งผลให้หายได้ ไม่เพียงแต่มีเงิน มีเวลา ไปรักษาเท่านั้นอาการป่วยไข้จะหายได้ การรักษาอาการนั้นๆจะต้องได้รับการอโหสิกรรมจากเจ้ากรรมนายเวรที่ทำให้เราเจ็บป่วยในกาย ณ.ขณะนั้นด้วย และได้รักษากับหมอที่มีกรรมสัมพันธ์ และอุปถัมป์กันเท่านั้น การบำบัดอาการก็จะบรรลุผล หายได้ในที่สุด

วันพุธที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2560

พลังงานที่มากระแทกร่างกายแล้วไปไหน ( ตอน 7.11 )

พลังงานที่มากระแทกร่างกายแล้วไปไหน ( ตอน 7.11 )

ก้นกระแทก คุณเคยยืน เดินนานๆ จนปวดหลังปวดเอว
คุณเคยนั่งทำงาน นั่งขับรถนานๆจนปวดหลังปวดเอว
คุณเคยลื่นล้ม หงายหลัง แผ่นหลังฟาดพื้น
คุณเคยลื่นล้มก้นจ้ำเบ้า เวลาที่ก้นกระแทกพื้น
คุณเคยกระโดดลงมาจากที่สูง เมื่อฝ่าเท้าถึงพื้น คุณรู้สึกบาดเจ็บอย่างไรครับ

    ที่เกริ่นมานี้ต้องการแสดงให้เห็นอีกด้านหนึ่งของการบาดเจ็บ เป็นด้านที่เราไม่ได้กล่าวถึง และส่วนมากในการบำบัดรักษา จะไม่ได้แก้ไขในเรื่องนี้ เป็นเรื่องพลังงานที่สั่งสมเข้ามาในกายเรา จะโดยการซึมซับจากการใช้ชีวิตปกติในแต่ละวัน หรือพลังงานที่เข้ามาจากการกระแทก กระชากจากอุบัติเหตุต่างๆ ทุกกรรมทุกวาระ ทุกๆพลังงานที่เข้ามาจะสั่งสมอยู่ภายในกายเรา เปรียบเสมือนลมที่เป่าเข้าไปในลูกโปร่ง เป่าเข้าไปจนลูกโปร่งโต ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ลูกโปร่งโตจนความดันที่เกิดขึ้นภายในลูกโปร่งมีมาก มากจนผิวลูกโปร่งรับไม่ได้ ความยืดหยุ่นของผิวลูกโปร่งไม่มีเหลืออีกแล้ว สุดท้ายลูกโปร่งก็จะระเบิด
      แต่ผิวกายคนไม่ใช่ผิวลูกโปร่ง พลังงานที่สั่งสมเข้าไปในกายก็จะมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อลมไม่ไหลเวียนออกนอกกาย จะทำให้ความดันของลมที่ขัดอยู่ในกายเพิ่มขึ้นตามลำดับ ลมที่ขัดมากขึ้น หรือพลังงานที่สั่งสมมีมากขึ้นนั้น ไม่มีผลทำให้ผิวหนังเราระเบิดเหมือนผิวลูกโปร่ง ผิวหนังของเรามีความยืดหยุ่น เมื่อพลังงานสั่งสมมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วลมในกายไม่สามารถไหลออกนอกกาย ตามรูขุมขน ตามข้อกระดูกต่างๆ ตามรูทวารต่างๆ ทำให้ผิวหนังเราก็จะยืดขยายออกไป ( เหมือนคนที่ตั้งครรภ์ ที่อายุครรภ์ยิ่งมาก ท้องก็ยิ่งขยาย โตออกไป ท้องจะยุบลงมาได้ก็ต่อเมื่อได้คลอดลูกออกมาแล้วเท่านั้น )

      ความดันของลมในช่องท้อง ขึ้นอยู่กับการสั่งสมของพลังงานมากขึ้น ลมไม่สามารถไหลเวียนออกนอกกายได้ ยิ่งนานวัน ยิ่งสะสมเพิ่มขึ้น ยิ่งไปกดทับกล้ามเนื้อให้มีอาการเจ็บปวด ไปกดทับอวัยวะมีผลทำให้อวัยวะนั้นๆทำงานไม่อยู่ในสภาวะปกติ ความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้ออวัยวะเสียสภาพไปชั่วขณะ
      เช่นอาการจุกเสียด ลมแน่นที่ช่องท้อง ลมหรือพลังงานที่อยู่แน่นในช่องท้องก็จะไปกดทับกระเพาะอาหาร หรือบีบกระเพาะอาหาร เมื่อกล้ามเนื้อกระเพาะอาหารหดตัวแล้วกล้ามเนื้อกระเพาะอาหารขยายตัวขึ้นมาไม่ได้ ขนาดของกระเพาะอาหารก็จะเล็กกว่าในสภาวะปกติ พลังงานกลที่ช่วยในการย่อยอาหาร คือช่วยคลุกเคล้าน้ำย่อยและอาหาร จึงลดประสิทธิภาพการย่อยอาหารลงไป

      ถ้าเราทำให้ลมในกายไหลเวียนออกนอกกายได้ ลมที่ไหลออกจะลากพลังงานที่สั่งสมอยู่ออกนอกกายไปด้วย ทำให้ลมในช่องท้องคลายตัว ท้องแฟบลง ส่งผลให้การทำงานของอวัยวะที่เสียสภาพไปนั้น ฟื้นตัวกลับมาโดยอัตโนมัติ อาการป่วยของเราก็จะทุเลาและหายไปในที่สุด

วันจันทร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2560

การนวดกับเจ้ากรรมนายเวร ( 3/3 )

การนวดกับเจ้ากรรมนายเวร  ( 3/3 )

-คำขอขมากรรม
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต,อะระหะโต,สัมมาสัมพุทธัสสะ .(3 จบ)
        ด้วยอานุภาพ คุณพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ พระศรีอริยเมตไตรย พระอุปคุต หากข้าพเจ้าเคยทำผิดต่อคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยกาย วาจา ใจ ไม่ว่าจะในภพใดชาติใดก็ตาม ด้วยการประมาทพลาดพลั้ง ปรามาส ลบหลู่ ดูหมิ่น ล่วงเกิน เบียดเบียน ทำร้าย ผู้ใดให้ได้รับทุกข์ทางกาย และใจ เคยทำลายศาสนสถาน ศาสนวัตถุ ศาสนธรรม หรือเคยขวางการกระทำกรรมดี ขวางการปฏิบัติธรรม ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ พระอริยสงฆ์ มีองค์หลวงปู่เจือ สุภโร เป็นที่สุด พระโพธิสัตว์ พระอริยบุคคล ผู้ประพฤติปฏิบัติธรรม ผู้มีฌาน มีอภิญญา ผู้มีศีลมีธรรม รวมถึงบิดามารดา ครูบาอาจารย์ บรรพบุรุษ วงศาคณาญาติ ภรรยาสามี ผู้มีพระคุณ บริวาร เทพพรหมสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เจ้ากรรมนายเวร ศัตรูหมู่มาร ทั่วโลกทั่วจักรวาล ข้าพเจ้ากระทำไปด้วยความโง่ความหลง บัดนี้ข้าพเจ้ารู้เห็นโทษนั้นแล้ว ขอให้ท่านทั้งหลายโปรดอดโทษเว้นโทษให้แก่ข้าพเจ้า นับแต่บัดนี้ตราบเข้าสู่ มรรคผล นิพพานเทอญ
 .......... 
         ด้วยข้าพเจ้า ปรารถนาที่จะปฏิบัติตามคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หากในภพใดชาติใดได้เคยร่ำเรียน เดรัจฉานวิชา เวทมนต์ คาถา อาคม มนต์ดำ มนต์กาม มนต์เสน่ห์ คุณไสย อักขระ เลขยันต์ ทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่ปรารถนาจะได้วิชาเหล่านี้แล้ว ขออธิษฐานถอดถอนหากยังมีติดอยู่ในกายในจิตของข้าพเจ้า และเคยทำใส่ หรือผูกมัด กักขังดวงจิตดวงวิญญาณใดก็ตาม ขอปลดปล่อยท่านทั้งหลายให้เป็นอิสระ และที่ทำใส่ ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ แร่ธาตุทุกชนิดทุกจำพวก ทั่วโลกทั่วจักรวาล หรือมีผู้ใดทำใส่ข้าพเจ้า ก็ขอให้เสื่อมสลายมลายสิ้นไป กลับเป็นธาตุบริสุทธิ์ ไม่สามารถนำกลับมาใช้ได้อีก รวมถึงคำสาปแช่ง อาฆาตแค้น พยาบาท จองเวร จองกรรม คำสัญญาสาบาน คำอธิษฐานใดๆ ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น ที่ขวางต่อการปฏิบัติ ขอให้เสื่อมสลายเป็นโมฆะ ต่างฝ่ายต่างเป็นอิสระต่อกัน กราบขอขมาขออโหสิกรรม ทุกกรรมที่เคยกระทำไปด้วยความโง่ความหลง บัดนี้ได้สำนึกผิดแล้ว ขอให้ท่านทั้งหลาย ได้โปรดอดโทษ และอโหสิกรรมแก่ข้าพเจ้า ขอบุญกุศลที่ข้าพเจ้าบำเพ็ญมา จงเข้าไปอยู่ในกายในจิตของท่านทั้งหลาย ให้ท่านทั้งหลายมีความสุขพ้นจากทุกข์ และขออาราธณาเทพพรหมทั้งหลายที่ได้มรรคผลแล้วได้โปรดอนุเคราะห์ดวงวิญญาณเหล่านั้นให้ได้มรรคผลเช่นเดียวกับท่านทั้งหลายด้วยเถิด ด้วยอานุภาพคุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระอริยสงฆ์
        สาธุ สาธุ  สาธุ  ......
******************************************************************************

- คำกล่าวเพื่อช่วยเจ้ากรรมนายเวร  ( น้อมจิตถึงเจ้ากรรมนายเวร )

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต,อะระหะโต,สัมมาสัมพุทธัสสะ. (๓ จบ)
        ข้าพเจ้าขออาราธนาอานุภาพขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ พระศรีอาริยเมตไตรย พระอุปคุต พระโมคคัลลานะ พระสารีบุตร หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านพ่อลี หลวงปู่เจือ สุภโร  พระโพธิสัตว์กวนอิม พระศิวะ พระนารายณ์ ท้าวมหาพรหม ท้าวเวสสุวรรณ พระยายมราช และบุญกุศลที่ข้าพเจ้าบำเพ็ญมา จงเข้าไปอยู่ในกายในจิตเจ้ากรรมนายเวรของข้าพเจ้า และเจ้ากรรมนายเวรของผู้มีกรรมสัมพันธ์กับข้าพเจ้า ให้คลายจากทุกข์ และได้เห็นผลกรรมตามความเป็นจริง เกิดความเบากายเบาใจ และได้มาปฏิบัติตามคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อให้ถึงความสิ้นทุกข์ด้วยเถิด สาธุๆๆ .........
      ขอท่านทั้งหลายกล่าวตามข้าพเจ้าเพื่อให้ถึงความสุขยิ่งๆขึ้นไป

- ขอขมาพระรัตนตรัย
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต, อะระหะโต, สัมมาสัมพุทธัสสะ. (๓ จบ)
พุทเธ ธัมเม สังเฆ ปะมาเทนะ ทวารัตตะเยนะกะตัง สัพพัง อะปะราธัง ขะมะตุโนภันเต. (๓ จบ)
สาธุ สาธุ สาธุ.......
-อาราธนาศีล
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต, อะระหะโต, สัมมาสัมพุทธัสสะ. (๓ จบ)
พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
ทุติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ทุติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ ทุติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
ตะติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ตะติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ ตะติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ

ปาณาติปาตา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
อะทินนาทานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
กาเมสุมิจฉาจารา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
มุสาวาทา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
อิมานิ ปัญจะ สิกขาปะทานิ สะมาทิยามิ. (๓ จบ)
 สาธุ สาธุ สาธุ ....

-สอนสมาธิให้กายทิพย์-
รู้สติที่กายทั่วกาย เห็นกายทั่วกาย เห็นลมทั่วโลก หายใจเข้ารูจมูก ลมออกทั่วกาย ออกทุกรูขุมขนทั่วกาย หายใจออกรูจมูก ลมเข้าทั่วกาย เข้าทุกรูขุมขนทั่วกาย
สาธุ สาธุ สาธุ....
        ท่านใดพ้นทุกข์แล้ว ขอให้ท่านน้อมกราบพระพุทธเจ้า กราบองค์หลวงปู่เจือ สุภโร ธรรมใดที่ท่านได้บรรลุแล้วขอจงมาบังเกิดมีแก่ข้าพเจ้าและผู้มีกรรมสัมพันธ์กับข้าพเจ้าให้ปฏิบัติถึงมรรคผลนิพพานได้โดยง่ายในภพชาตินี้ด้วยเถิด ด้วยอานุภาพคุณพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ สาธุ สาธุ สาธุ.......

การนวดกับเจ้ากรรมนายเวร ( 2 / 3 )

การนวดกับเจ้ากรรมนายเวร  ( 2 / 3 )

        จากที่กล่าวว่า เมื่อเรานวดแล้วลมไหลออกนอกกาย ลมจะเป็นพาหนะนำพาเอาพลังงานที่สั่งสมอยู่ภายในกายเรา ให้ไหลออกนอกกายไป อีกมุมหนึ่งก็คือลมที่ไหลออกนอกกายก็จะนำพาเจ้ากรรมนายเวรให้ออกนอกกายไป
         ดังนั้นอาการต่างๆ ที่เกิดขึ้นในกายนี้ เช่นการผายลม การเรอ การหาว การไอ จาม การสะอึก การที่เราขยับแล้วมีเสียงดังตามข้อต่างๆ อาการเหล่านี้เป็นระบบป้องกันของร่างกายเรา เพื่อปรับสมดุลของลมในกายเรา เมื่อลมในกายขัดไม่ไหลเวียนออกนอกกาย ปริมาตรของลมไม่ได้มีมากไปกว่าขนาดของรูปร่างของกายเรา ลมที่ไหลเวียนมาในกายก็มีปริมาตรเท่าเดิม เพียงแต่ลมไหลเวียนออกไม่ได้ การนำพาพลังงานหรือเจ้ากรรมนายเวรให้ออกมานอกกาย เจ้ากรรมนายเวรก็ออกไม่ได้เหมือนกัน พลังงานที่สั่งสมนี้แหละที่ไปกระทบกับกายเรา ( ธาตุดิน ธาตุน้ำ ) 
         พลังงานสะสมในกายมากๆ ความดันของพลังงานก็สั่งสมมากขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน จะไปกดทับกล้ามเนื้อ กดทับกล้ามเนื้อของอวัยวะ ไปเต็มในช่องท้อง ไปเต็มในกระโหลกศีรษะ ความดันของพลังงานที่มีมากก็จะไปห้อมล้อม กดทับ บีบทำให้อวัยวะต่างๆทำงานด้อยประสิทธิภาพลง
เช่นกระเพาะอาหารโดนพลังงานที่สั่งสมมากๆบีบ ทำให้การหดขยายของกล้ามเนื้อกระเพาะอาหารเสียสภาพไป คือหดตัวแล้วขยายตัวขึ้นมาไม่ได้ จึงทำให้เราเกิดอาการจุกเสียด ลมแน่นท้อง อาหารไม่ย่อย ต่อไปก็เกิดอาการกรดไหลย้อน ถ้าเราทำให้ลมไหลเวียนออกนอกกายได้ ลมในช่องท้องที่น้อยลง ย่อมหมายถึงพลังงานที่ห้อมล้อมน้อยลง การกดทับ บีบกระเพาะก็จะน้อยลงไปเรื่อยๆ กระเพาะอาหารก็จะกลับมาบีบตัวคลายตัวได้ตามปกติ อาการอาหารไม่ย่อย กรดไหลย้อนก็จะคลายหายไปเอง

       เวลาที่ลมขัดในกาย จริงๆแล้วก็คือลมไม่สามารถไหลออก-เข้าตามรูขุมขนได้ตามปกติ การนวดไล่ลม จะเป็นการนวดกระทุ้งลม ที่คั่งค้าง ขัดตามรูขุมขนให้รูขุมขนเปิด เพียงแค่เรากดนวดที่ขาเราสามารถกระทุ้งแก้อาการขัดของลม ให้ไหลโล่ง ลมวิ่งร้อนออกทั้งซีกร่างกาย เริ่มจากออกปลายเท้า ปลายแขน ศรีษะ ได้ในเวลาเดียวกัน  ดังนั้นถ้าเราทำให้ลมไหลเวียนเข้า-ออกนอกกายตามรูขุมขนทั่วกายได้เป็นปกติ พลังงาน ( ดวงจิต หรือเจ้ากรรมนายเวร ) ที่คั่งค้างอยู่ในกายเรา ก็จะไหลออกตามลมออกมา การเจ็บป่วยเราก็จะหายไปเอง
 
       การเบียดเบียนของเจ้ากรรมนายเวรจึงทำให้เราเกิดการเจ็บป่วย การบำบัดจะให้ผลอย่างไรจึงขึ้นอยู่กับว่าขณะนั้น เจ้ากรรมนายเวรเขาคลาย เขาอโหสิให้เราหรือยัง ถ้ายังการบำบัดก็จะไม่ส่งผลดี เวลานวดก็เจ็บ นวดเสร็จก็ยังเจ็บ ลมก็ไม่ไหลเวียนออกตามข้อ ไม่ไหลออกตามทวาร ไม่ไหลออกปลายมือปลายเท้าศีรษะ 
       การนวดบำบัดอาการต้องมีบุญบารมีที่สั่งสมของผู้นวด การอยู่ในศีลในธรรม และมีญาณของครูบาอาจารย์ที่เสริมเป็นพลัง
       ถ้ามีกำลังพอ เจ้ากรรมนายเวรเมื่อเขาได้บุญ เขาก็จะคลายความอาฆาต และอโหสิกรรมให้ การบำบัดก็จะส่งผล

        แต่ที่ผมได้พบ เป็นกรณีที่ยิ่งแปลกขึ้นไปอีก เป็นกรณีที่ได้นวดบำบัดอาการให้กับพระสงฆ์ ท่านเป็นพระอุปัฎฐากดูแลพระเถระรูปหนึ่ง ท่านมีอาการ เกี่ยวกับเส้น ปวดศีรษะ ไอบ่อย มีเสลดมาก ปวดบ่า ปวดหลัง ปวดขา นอนไม่หลับมาเป็นเดือน ท่านรู้สึกเหม็นกลิ่น กลิ่นเหมือนของโดนเผาไหม้เหม็นจากภายในกาย ดูร่างกายอ่อนเพลีย ไม่มีกำลัง อาการนี้มีมาประมาณ1เดือนแล้ว
         ท่านสัมผัสได้ว่า อาการที่เกิดนี้เกิดจากเจ้ากรรมนายเวร กลิ่นไหม้ก็เกิดจากกรรมที่ไปเบียดเบียนเผาเขามาในอดีต
 
         ได้เริ่มนวดไปประมาณ 2 ชม ปรากฎว่า อาการทางซีกซ้ายทุเลา เบาลง ลมไหลร้อนออกถึงปลายเท้าได้ แต่อาการทางซีกขวาทั้งซีก ยังมีอาการเหมือนเดิม ลมไม่เดิน ยังมีอาการแน่นที่ซีกขวาทั้งซีกอยู่
          จึงคิดได้ว่าเป็นกรณีไม่ปกติ เมื่อคนนวดมีบุญ-บารมีไม่เพียงพอ ก็จะไม่สามารถแก้ไขให้เจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรมให้ได้  จึงได้ให้หลวงพี่ท่านนี้ ขอขมาเจ้ากรรมนายเวร และถอดถอนคำสัญญาสาบานต่างๆ ตามที่ปฏิบัติอยู่ในสำนักสงฆ์ หลวงปู่เจือ สุภโร
      ให้ท่านสื่อกับเจ้ากรรมนายเวรนั้น ให้เจ้ากรรมนายเวรนั้นน้อมจิตกล่าวตาม โดยสอนให้ดวงจิตเจ้ากรรมนายเวรนั้นขอขมาพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ และกล่าวนำให้เขาอาราธนาศีล และสุดท้ายกล่าวสอนให้ดวงจิตนั้นทำสมาธิ
     ปรากฎว่าหลังจากนั้นไม่เกิน5นาที สังเกตุเห็นอาการขนลุก ที่ซีกขวาบริเวณที่ๆมีอาการค้างคาอยู่  ขนลุกต่อเนื่องเป็นเวลานานร่วม10นาที หลังจากนั้นอาการซีกขวาก็ดีขึ้น อาการขนลุกหายไป อาการที่ขับเสลดบ่อยก็หายไป อาการที่เหม็นเหมือนอะไรโดนเผาก็หายไป การหายใจดีขึ้น มีอาการเพลียอยากนอน อาการตึงเมื่อยหายไป

      หลังจากนวดเสร็จ ประมาณช่วงเวลาตี1 ท่านจำวัตร รุ่งขึ้นร่างกายสดชื่น มีกำลัง เป็นวันแรกในรอบ1เดือนที่ท่านมีกำลัง ไปบิณฑบาตรได้ และหลังจากวันนั้นมาอาการโดยรวมท่านดีขึ้นเรื่อยๆ
     
       ดังนั้นการที่เราได้รับการเบียดเบียนจากเจ้ากรรมนายเวร ที่แค้นเรามากๆ ก็ต้องน้อมบุญบารมีพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ พ่อแม่ครูบาอาจารย์ เทพพรหมที่ได้มรรคผลแล้ว ให้มาเป็นกำลัง ให้ดวงจิตนั้นได้เปลี่ยนภพภูมิ     ความอาฆาตแค้นก็จะดับไปเอง อาการเจ็บป่วยก็จะคลายออกไปเอง

ธิติ ศุภโชติการกุล
81/494.มบ.วิเศษสุขนคร ซ8 ถ.ประชาอุทิศ ซ79
 แขวง-เขตทุ่งครุ กท 10140

Dtac 086-775-7333. True H 083-046-7409

Line ID thiti.d.com   หรือเบอร์โทร 0867757333

FaceBook ---- Thiti Suppachokkarnkul 

วันพฤหัสบดีที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2560

การนวดกับเจ้ากรรมนายเวร ( 1/3 )

การนวดกับเจ้ากรรมนายเวร  ( 1/3 )

     การนวดเส้นคือการ
นวดเส้นที่มีเลือดและลมแล่นอยู่  การนวดที่ดีจึงเป็นการนวดปรับสมดุล ทำให้ธาตุทั้งสี่คือดินน้ำลมไฟเกิดความสมดุล กล้ามเนื้อไม่ตึง พังพืดคลายตัว เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น ลมไม่ติดขัดในกาย และไม่มีอาการร้อนวูบวาบในกาย การป่วยไข้ของเราก็จะคลายตัวหายไปเอง
      จากที่เคยกล่าวว่า พลังงานที่สะเทือนเข้ามาในร่างกายเราตามข้อ ทวารต่างๆ รูขุมขนทั่วร่างกาย ฯลฯ   จริงๆแล้วพลังงานที่ว่านี้ อีกมุมหนึ่งก็คือเจ้ากรรมนายเวร ถ้าเราทำให้ลมในกาย ทำให้ลมตามเส้นไหลเวียนออกนอกกายไปได้ พลังงานที่กระทบเข้ามาหรือเจ้ากรรมนายเวรก็จะไหลออกนอกกายเราโดยมีลมที่ไหลร้อนวิ่งออกนอกกาย ลมเป็นเพียงผู้นำพาเจ้ากรรมนายเวรในแต่ละวาระให้ออกไปจากกายเราเท่านั้น
       ร่างกายเรา ผิวกายเปรียบเสมือนผิวลูกโปร่ง เมื่อเป่าลูกโปร่งให้โตเกินไป ลูกโปร่งก็แตก เป่าให้โตเต็มที่ลูกโปร่งก็แข็ง ถ้าปล่อยลมให้แฟบลงมาลูกโปร่งก็นิ่ม
       ธาตุลมในกายเราเรามองไม่เห็น แต่เราสัมผัสได้ โดยเฉพาะผู้ที่ป่วยมีอาการเกี่ยวกับลมขัด ลมไหลเวียนออกนอกกายได้ไม่ดี ผิวกายเราเหมือนผิวลูกโปร่ง ต่างกับลูกโปร่งตรงที่เป่าลมใส่ลูกโปร่งมากเกินไปลูกโปร่งก็แตก ส่วนผิวกายเราถ้าลมในกายแน่นมากๆ ผิวกายเราไม่มีการปริ แตก หรือระเบิดออกมา จะมีแต่เพียงความดันของลมที่เกิดขึ้นบริเวณนั้น จะไปกดทับกล้ามเนื้อ กดทับอวัยวะของกล้ามเนื้อให้เกิดการปวด ทำให้อวัยวะนั้นๆทำงานได้ด้อยประสิทธิภาพลง 
      ลมในกายไหลออกไม่ดี มีอาการขัดตามเส้น ลมแน่นในกระโหลกศีรษะ ลมแน่นในช่องท้อง รูขุมขนตามอวัยวะที่มีปัญหาลมขัด รูขุมขนจะปิด พลังงานที่สั่งสมอยู่ภายในจึงไม่สามารถระบายออกตามรูขุมขนได้ จึงเกิดการสั่งสมพลังงาน นานวันเข้าก็จะเกิดความร้อนขึ้นมา เป็นอาการร้อนวูบวาบ อาการปวดแสบปวดร้อน อาการปวดลึกๆเหมือนปวดเข้ากระดูก
       นวดไล่ลม เป็นเพียงแค่การทำให้ลมในกาย ลมตามเส้นไหลเวียนออกนอกกายได้ ให้เป็นปกติ เมื่อลมไหลเวียนออกตามรูขุมขนได้ ลมก็จะนำพาพลังงาน ซึ่งอีกมุมหนึ่งก็คือเจ้ากรรมนายเวรให้ออกนอกกายไปได้ อาการป่วยเรื้อรังก็จะค่อยๆหายไปเอง     

ธิติ ศุภโชติการกุล
81/494.มบ.วิเศษสุขนคร ซ8 ถ.ประชาอุทิศ ซ79
 แขวง-เขตทุ่งครุ กท 10140

Dtac 086-775-7333. True H 083-046-7409

Line ID thiti.d.com   หรือเบอร์โทร 0867757333

แก้อาการด้วยตนเองในคราวฉุกเฉิน

แก้อาการด้วยตนเองในคราวฉุกเฉิน

    ในกลุ่มไลน์ นวดไล่ลม 2559 ที่มีข้อกำหนดในการ งดส่งข้อความต่างๆ การสนทนา สติ๊กเกอร์ รูปภาพ วีดีโอ ต่างๆ รวมทั้งการส่งรายละเอียดและวิธีการรักษาอื่นๆ สมุนไพร การนวด การบำบัดต่างๆ ที่นอกเหนือจากการนวดเพื่อแก้ปัญหาของลมในกาย
     ก็เพื่อเป็นประโยชน์โดยรวมสำหรับสมาชิกในกลุ่ม กลุ่มนี้วัตถุประสงค์ตั้งเพื่อ แนะนำ ให้ผู้ที่มีวิชาชีพในด้านการบำบัดอาการเจ็บป่วยโดยแพทย์ทางเลือก และผู้ป่วยที่เจ็บป่วยด้วยอาการเส้น อาการลมขัดในกาย ให้เข้าใจว่าที่อาการป่วยของเราเรื้อรัง ไม่ดีขึ้น สาเหตุมาจากอะไร
     ในกลุ่มไลน์ นวดไล่ลม2559 นี้ เปิดพื้นที่ให้ทุกๆท่านสามารถสอบถาม การเจ็บป่วยที่เกิดจากเรื่องลมขัดในกาย สามารถสอบถามเข้ามาในกลุ่มนวดไล่ลม2559 นี้ได้เลยไม่ผิดกติกา
       แต่ถ้าต้องการสอบถามในเรื่องอื่นๆ กรุณาแชทเข้าไลน์ส่วนตัวนะครับ

      คุณพรีม สมาชิกของกลุ่มนวดไล่ลม2559 คุณพรีมเป็นสมาชิกที่เพื่อนแนะนำเข้ามา เป็นผู้ประกอบวิชาชีพนวด อยู่ที่เยอรมัน  เมื่อสามวันที่ผ่านมาคุณพรีมประสบปัญหา มีลมในช่องท้องมาก ทานสมุนไพร และกดท้องแล้วก็ไม่ดีขึ้น จึงได้แชทมาเพื่อขอคำแนะนำ
       ผมจึงแนะนำให้ บำบัดโดยเน้นการไล่ลมที่ขัดในเส้น ให้ลมไหลออกนอกกาย โดยวิธีการนวดเหมือนปกติ แต่เน้นการกดนวดเนิบๆ ค่อยๆลง ค่อยๆขึ้น บริเวณแนวเส้น ท่านอนคว่ำ ให้กดนวดบ่อยๆ ลมไหลออกปลายเท้าท้องก็จะเบา
      แนะนำไป และตามผลไป1-2 วัน อาการดีขึ้น ลมแน่นท้องทุเลาลงแล้ว

ธิติ ศุภโชติการกุล
81/494.มบ.วิเศษสุขนคร ซ8 ถ.ประชาอุทิศ ซ79
 แขวง-เขตทุ่งครุ กท 10140

Dtac 086-775-7333. True H 083-046-7409

Line ID thiti.d.com   หรือเบอร์โทร 0867757333

FaceBook ---- Thiti Suppachokkarnkul

วันเสาร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2560

อะไรอยู่เบื้องหลังการป่วยเรื้อรัง

อะไรอยู่เบื้องหลังการป่วยเรื้อรัง

   การนวดเส้นคือการนวดเส้นที่มีเลือดและลมแล่นอยู่
   ร่างกายเราเป็นธาตุสี่ มีดินน้ำลมไฟ จะมีแต่เพียงธาตุดิน ( กล้ามเนื้อ พังผืด เส้นเลือด ฯลฯ  ) ที่ได้รับการบำบัด และธาตุน้ำ ( เลือดแดง เลือดดำ น้ำเหลือง ฯลฯ ) ที่มีการไหลเวียนดีขึ้น การที่เรานวดบำบัดแล้วธาตุลมในกายไม่ได้แก้ไข ธาตุไฟจึงกำเริบ
    ลมที่แล่นไหลออกนอกกาย ลมเป็นแค่พาหนะ นำพาให้พลังงานที่กระทบเข้ามาในกายที่ยังสั่งสมอยู่ ให้ไหลเวียนออกตามรูขุมขน ตามข้อ และตามปลายมือ ปลายเท้า ศีรษะ   

อะไรคือพลังงานที่สั่งสมในกายเรา
    คุณเคยกระโดดจากที่สูง กระโดดลงมาจากต้นไม้ แล้วมีความรู้สึกปวดหลังปวดเอวไหม
    คุณเคยยกสิ่งของ แล้วมีอาการปวดหลังปวดเอวไหม
    คุณเคยลื่นล้มก้นกระแทก แล้วมีความรู้สึกปวดหลัง ปวดเอว ตึงต้นคอไหม
    คุณเคยประสบอุบัติเหตุศีรษะกระแทก แล้วมีอาการปวดศีรษะ ตึงต้นคอไหม อาการภูมิแพ้ หายใจขัด
    คุณเคยอยู่ในสถานที่ที่มีเสียงดังมากๆ เป็นเวลานานหลายๆปี แล้วมีอาการปวดหู หูอื้อ ลมออกหูไหม
     คุณเคยลื่นล้ม หรืออุบัติเหตุที่ทำให้แผ่นหลังโดนกระแทก แล้วเกิดอาการจุกเสียด ปวดเมื่อยแผ่นหลัง มีความรู้สึกปวดแสบปวดร้อนอยู่บริเวณแผ่นหลัง
     คุณเคยแขนกระชากจากอุบัติเหตุ แล้วมีอาการเป็นก้อนลมที่เต้านม  อาการแขนไม่มีแรง ไหล่ติด
     คุณเคยมีอาการเดินมาก ยืนมาก ขับรถนานๆจนปวดหลังปวดเอวไหม
     คุณเคยใช้งานนิ้วมือ อุ้งมือจนมีอาการนิ้วล็อค ปวดข้อมือ หรือไม่
     คุณเคยลื่นล้มหัวเข่ากระแทกพื้นไหม
     คุณเคยลื่นแล้วขาพลิกขาแพลงไหม
     คุณเคยใช้สายตา ใช้งานคอมพิวเตอร์จนมีอาการเมื่อยมือ บ่าตึง ปวดเมื่อยตาไหม
      คุณเคยเครียดจนนอนไม่หลับ จนทำให้เกิดอาการไมเกรนไหม

      ทุกๆอาการที่ยกตัวอย่างมา เป็นที่มาของพลังงานที่กระทบเข้ามาในกาย ทุกๆการเดิน การทำงาน การกระแทก ทุกๆอุบัติเหตุจะมีพลังงานที่สะเทือนเข้ามา พลังงานที่เข้ามานั้นในปกติที่ร่างกายจะเกิดอาการบาดเจ็บเบื้องต้นของการปะทะ เช่นช้ำ บวม โน เคล็ดขัดยอก ปวด หัก ห้อเลือด ช้ำใน หลังจากที่เรารักษาอาการบาดเจ็บให้หาย อาการปวดเมื่อยหายไปแล้ว อาการบวม โน อาการปวดขัดบวมตรงข้อก็ลดลงแล้ว นั่นคือธาตุดินธาตุน้ำได้รับการบำบัด
       แต่ธาตุลมเมื่อโดนพลังงานเข้ามากระทบในกาย การไหลเวียนของลมในขณะนั้นโดนกระทบ ลมไหลเวียนออกนอกกายไม่ได้ ลมยังไม่ได้รับการบำบัด พลังงานที่เข้ามาก็จะสั่งสมไปตามแนวเส้นที่กระทบเข้ามา วันเวลาผ่านไป วัน เดือน ปี 10ปี  20ปี 30ปี พลังงานที่สั่งสมเข้าไปก็จะสั่งสมจนมีพลัง ส่งผลให้ร่างกายบาดเจ็บเรื้อรัง ทำให้หลังค่อม ทำให้ปวดหลังปวดเอว ทำให้เกิดอาการหมอนรองกระดูกเคลื่อนทับเส้นประสาทแขน-ขา  ทำให้ขาโกร่ง อาการรองช้ำ  ทำให้นิ้วล็อค ทำให้เกิดอาการน้ำในหูไม่เท่ากัน อาการลมออกหู  ไมเกรน อาการภูมิแพ้ อาการจุกเสียด-ลมแน่นท้อง กรดไหลย้อน ฯลฯ
       เมื่อเราปรับสมดุลทำให้ลมในกายไหลเวียนออกนอกกายได้ พลังงานที่สั่งสมอยู่ก็จะค่อยๆลดกำลังลง ( เหมือนลดขนาดลูกโปร่งให้ขนาดเล็กลง ลูกโปร่งก็นิ่มลง )
       เมื่อเราปรับสมดุลให้ธาตุดินน้ำและลมให้ไหลเวียนดีแล้ว อาการตัวร้อนแต่ไม่มีไข้ อาการปวดแสบปวดร้อน คือธาตุไฟก็จะกลับคืนสู่สมดุล นั่นคืออาการร้อนรุ่ม หรือปวดแสบปวดร้อนก็จะหายไปเอง

       การบำบัดร่างกายมนุษย์ที่มีธาตุดินน้ำลมไฟเป็นตัวตั้งต้น ถ้าการบำบัดนั้นธาตุลมยังไม่ได้รับการแก้ไข พลังงานที่สั่งสมเข้ามาในกายตลอดเวลาที่ผ่านมา ก็ไม่ได้รับการแก้ไขด้วยเหมือนกัน การบำบัดอาการต่างๆจึงไม่สามารถแก้ไขทำให้อาการเรื้อรังต่างๆหายไปได้

         เพราะลมเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น โปร่งใส เราไม่มีอุปกรณ์ใดๆที่ตรวจจับวัดลมได้  จะมีแต่คนที่ป่วยในอาการขัดของลมเท่านั้นที่จะเข้าใจ
         ถ้าผิวกายเราเป็นเหมือนผิวลูกโปร่ง เป่าลมให้โตมาก ความดันสะสมมากๆ ลูกโปร่งโตขึ้น โตเต็มที่ลูกโปร่งก็แตก  แต่ผิวกายเราไม่ใช่ผิวลูกโปร่ง ผิวหนังเรายืดหยุ่น ถ้าในเวลาปกติลมไหลออกตามรูขุมขนได้ก็ไม่เกิดอาการอะไร วันใดวันหนึ่งลมไม่สามารถออกตามทวาร รยางค์ รูขุมขนต่างๆได้ ก็เหมือนเราเป่าลูกโปร่งให้โตขึ้น แต่ความดันที่เกิดขึ้นนี้ไม่เพียงแต่ไปกดทับ ดันที่ผิวหนังเท่านั้น แต่ความดันที่เพิ่มขึ้นยังไปกดทับ ดันกล้ามเนื้อ อวัยวะต่างๆในช่องท้อง ในกะโหลกศีรษะ ตามส่วนต่างๆของร่างกาย จึงเป็นเหมือนภูเขาไฟที่รอวันที่มันจะระเบิดขึ้นมาเท่านั้น

วันพุธที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2560

พลังงานที่มากระแทกร่างกายแล้วไปไหน ( ตอน 7.10 ) นิ้วล็อค นิ้วบวม ปวดข้อมือ อุ้งมือ

พลังงานที่มากระแทกร่างกายแล้วไปไหน ( ตอน 7.10 ) 


นิ้วล็อค   นิ้วบวม  ปวดข้อมือ อุ้งมือ
         อาการขัดของเลือดลมที่เกิดขึ้นบนท่อนแขนและมือ ก็เป็นส่วนหนึ่งของพลังงานที่สะเทือนเข้ามาในกายเราแล้วไหลออกนอกกายไปไม่ได้
        เหมือนกรณีผู้ป่วยรายหนึ่งมีอาการขัดของลมที่ข้อนิ้วมือ ในมือทั้งสองข้าง อาการเริ่มต้นก่อนที่จะเริ่มนวดคือ มีแนวบ่าที่แข็งตึง แน่นทั้งสองข้าง ท่อนแขนบนตึง ท่อนแขนล่างแน่น ที่มือข้างซ้ายมีอาการบวมโตของนิ้วกลาง ที่มือข้างขวามีอาการปวดเจ็บที่โคนนิ้วนาง อาการที่เป็นต้นเหตุให้จะต้องรักษาก็คือการที่ใช้มือทั้งสองข้างไม่สะดวก ใช้ไม่ได้เวลาที่ใช้หยิบจับของ จะตึงเจ็บนิ้วมือ
         ผู้ป่วยได้บำบัดรักษาอาการมาตลอด หลายวิธี มีทั้งการฝังเข็ม และก่อนหน้านี้เคยไปรับการรักษาอาการนิ้วชี้ล็อค ในมือข้างขวาโดยการสะกิดพังผืดที่ยึด จนอาการของนิ้วชี้ข้างขวานี้ปกติไม่ปวดไม่ตึง
          สำหรับการบำบัดอาการขัดของลมที่ทำให้เกิดอาการ นิ้วล็อค นิ้วบวมของมือทั้งสองข้าง ได้เริ่มนวดกดคลายลมที่ขัดที่เส้นข้างขาด้านใน และเส้นหน้าแข้งด้านใน ( ท่านอนตะแคงนวด) ให้ลมแล่นร้อนออกไปข้อเข่า ข้อตาตุ่ม จนไปถึงที่สุดของเท้าให้ลมแล่นร้อนไปออกที่ปลายนิ้วเท้า และแนวต่อไปก็นวดในท่านั่ง เริ่มนวดแนวร่องสะบัก แนวบ่า แนวคอ ศีรษะ เพื่อคลายกล้ามเนื้อ พังผืดที่เกาะยึดจากแนวบ่าไปจนถึงศีรษะ เพื่อเปิดทางให้การกระทุ้งไล่ลมจากการนวดขาแนวเส้นข้างขาด้านใน ให้ลมไหลออกไปจนถึงศีรษะได้
          เมื่อคลายกล้ามเนื้อคอบ่าไหล่แล้ว ก็นวดแขนตามแนวเส้นแขน ( ท่านอน) เพื่อกระทุ้งให้อาการขัดของลมที่ท่อนแขนคลายตัว ไล่ลมที่ขัดในแนวเส้นให้ไหลร้อนออกจากโคนแขนไปออกที่ปลายนิ้วมือ
          เมื่อเรานวดไล่ให้ลมที่ขัดตั้งแต่โคนแขนทั้งสองข้าง ให้ไหลร้อนผ่านข้อศอก ผ่านข้อมือ ผ่านอุ้งมือ ผ่านนิ้วมือ ในที่สุดลมที่ขัดบริเวณแขนก็จะคลายตัว อาการตึงแขน หนักแขน ปวดข้อมือ ปวดอุ้งมือ นิ้วล็อค นิ้วตึง นิ้วบวม ก็จะค่อยๆทุเลาหายไปในที่สุด
            หลังจากบำบัดอาการไประยะเวลาหนึ่ง แขนซ้ายที่นิ้วกลางอาการบวมลดลงมาอย่างเห็นได้ชัด อาการตึงในแนวนิ้วกลางยังมีอยู่แต่น้อยลงมา
              สำหรับแขนขวาอาการบวมที่โคนนิ้วนางก็ลดลง นิ้วไม่ตึงเจ็บเท่าเมื่อก่อน ถือว่าการบำบัดอาการนิ้วล็อค นิ้วตึง นิ้วบวม หลังจากบำบัดอาการดีขึ้นเรื่อยๆ
             
                ในครั้งหลังที่ได้ไปนวดบำบัด มือขวานิ้วชี้ที่เคยไปผ่า เขี่ยพังผืด จนอาการนิ้วล็อคนั้นหายไปแล้ว ปรากฏว่านิ้วชี้นี้บวมตึงขึ้นมา ทั้งๆที่ไม่ได้กระแทกอะไรมาอีก

 อาการนิ้วชี้บวมนี้บอกอะไรแก่เรา

วันเสาร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2560

พลังงานที่มากระแทกร่างกายแล้วไปไหน ( ตอน 7.9 ) ลมออกหู

พลังงานที่มากระแทกร่างกายแล้วไปไหน ( ตอน 7.9 )  

ลมออกหู
เสียงที่เราได้ยินเป็นพลังงาน เป็นพลังงานอีกประเภทหนึ่งที่กระทบเข้ามาในร่างกายเราทุกๆเสียงที่เราได้ยิน ก็คือทุกๆพลังงานที่กระทบเข้ามาในร่างกายผ่านทางหู เสียงดังน้อยพลังงานที่เข้ามากระทบร่างกายทางหูก็น้อย เสียงดังมากพลังงานที่เข้ามากระทบก็มากตามไปด้วย
      ในสภาวะปกติ การได้ยินเสียงที่ดังไม่มาก เช่นการได้ยินจากการพูดคุยกันจะเป็นแค่การสั่งสมพลังงานเข้าไปในหูเรื่อยๆ  จะไม่ค่อยมีผลข้างเคียงอะไร ถ้าจะมีปัญหาก็ใช้เวลานานหลายสิบปีที่จะทำให้หูอื้อ
        แต่เสียงดังๆที่กระทบเข้ามาในหูเช่น การทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมที่ต้องอยู่กับเครื่องจักรที่มีเสียงดังตลอดเวลา   ทำงานในสถานบันเทิงที่มีเสียงดัง กระหึ่ม ตลอดเวลาเป็นระยะเวลานานหลายๆปี   การใช้อุปกรณ์หูฟังเสียบที่หู ฟังเสียงที่ดัง ต่อเนื่อง เป็นเวลายาวนาน เป็นปีๆ  หรือการโดนตบบ้องหู
     การที่เราอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงดังมากๆ ตลอดเวลา เป็นเวลานานหลายๆปี พลังงานที่สั่งสมเข้าไปในแต่ละวันเริ่มมากจนเต็มแน่น หูเมื่อมีพลังงานที่สั่งสมเข้ามาสูงขึ้น เลือดลมบริเวณหูไหลเวียนไม่ดี ลมที่ไหลเวียนออกนอกกายไม่ได้ ความดันลมหรือพลังงานภายในที่สั่งสมขึ้นมาตามลำดับก็จะมีแรงไปกดทับอวัยวะส่วนต่างๆในหู ทำให้เรามีอาการปวดในหู มีอาการหูอื้อ หูตึง ลมออกหู อาการน้ำในหูไม่เท่ากัน
       และความดันที่เกิดขึ้นนี้ก็ยังส่งผลทำให้อวัยวะใกล้เคียงในศีรษะมีอาการข้างเคียงไปด้วย ตาก็จะพร่ามัว จมูกก็หายใจแห้งๆขัดๆ เป็นอาการภูมิแพ้  เมื่อยขบกรามในช่องปาก มึนศีรษะ รวมทั้งมีอาการตัวร้อนแต่ไม่มีไข้ ทั้งนี้เนื่องจากพลังงานที่เข้ามาแล้วออกไม่ได้
       การที่ธาตุลมขัด ทำให้พลังงานที่สั่งสมในกายเราแล้วออกไม่ได้ ธาตุไฟจึงกำเริบ จึงมีอาการร้อนอยู่ภายในกายโดยที่ไม่มีไข้ บริเวณที่ลมขัดอยู่ค่อยๆแผ่ขยายวงกว้างออกไปยังพื้นที่ใกล้เคียง พลังงานที่สั่งสมจึงไปกดดันกล้ามเนื้อ อวัยวะบริเวณหูและบริเวณอวัยวะใกล้เคียง ทำให้อวัยวะทำงานผิดเพี้ยนไป
         การนวดปรับสมดุลธาตุทั้งสี่ นวดทำให้ลมในกายบริเวณหู ให้ลมไหลเวียนออกนอกกายได้จึงเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ เมื่อพลังงานที่สั่งสมน้อยลง อาการต่างๆที่กล่าวมาก็จะคลายตัว และหายไปในที่สุด

วันอาทิตย์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2560

กล้ามเนื้อหน้าท้องแข็งแรง ( ซิกแพค )

กล้ามเนื้อหน้าท้องแข็งแรง ( ซิกแพค )

การนวดเส้นคือการนวดเส้นที่มีเลือดและลมแล่นอยู่  จากความหมายของการนวดเส้นบอกอะไรกับเราบ้าง ถ้าเราทำกล้ามเนื้อของเราให้แข็งแรง เช่นกล้ามเนื้อแขน-ขาเป็นมัดๆ กล้ามเนื้อหน้าท้องแข็งแรง ( ซิกแพค ) ฯลฯ
   ลองนึกภาพเวลาที่เรามีอาการตะคริวขึ้นที่น่อง กล้ามเนื้อที่ตะคริวขึ้นนั้นนิ่มหรือแข็ง เวลาที่คนเราว่ายน้ำนานเกินไป หรือแช่อยู่ในน้ำที่เย็นนานเกินไป กล้ามเนื้อที่ตะคริวขึ้นนั้นนิ่มหรือแข็ง
        คนที่มีอาการตะคริวขึ้นที่น่อง จะมีกล้ามเนื้อที่เกร็งแข็ง เวลาตะคริวขึ้นจะมีอาการปวดที่น่อง เมื่อเราทำการบำบัดอาการตะคริวนั้นให้กล้ามเนื้อคลายตัว อ่อนลงแล้ว อาการปวดก็จะหายไป
     ที่กล่าวนำมานี้ เพื่อให้มองสุขภาพของเราในอีกมุมหนึ่ง ไม่ได้บอกว่ากล้ามเนื้อแข็งแรงเป็นมัดๆไม่ดี แต่ให้มองถึงผลข้างเคียงที่จะกระทบกลับเข้ามาที่ร่างกาย เนื่องจากเส้นเลือดผังตัวอยู่ในกล้ามเนื้อ เลือดและลมที่ไหลแล่นอยู่ในเส้นเลือดที่กล้ามเนื้อแข็งตึง ความยืดหยุ่นของเส้นเลือดย่อมน้อยลง การไหลเวียนของเลือดและลมก็ด้อยประสิทธิภาพลงไป ทำให้เราเกิดการป่วยขึ้นมา
   กล้ามเนื้อแน่น ทำให้เลือดไหลไปเลี้ยงอวัยวะปลายทางได้ไม่สะดวก และไม่พอเพียงและมีผลทำให้ลมในกายไหลเวียนออกนอกกายตามข้อ ทวาร และรูขุมขนต่างๆได้น้อยลง เกิดมีอาการขัดของลมอยู่ภายใน
     เวลาที่เรานวดบำบัด หรือแม้แต่การนวดผ่อนคลาย ก็จะเป็นการนวดคลึงให้กล้ามเนื้อและพังผืดคลายตัว อ่อนลง หลังนวดเราจึงมีความรู้สึกว่าเบาสบาย  ถ้าเราออกกำลังเพื่อให้กล้ามเนื้อหน้าท้องแข็งแรง ก็เป็นการลดความสามารถของร่างกายในการไหลเวียนเลือดและลมด้วย ทางแก้ที่สำคัญคือต้องมีการยืดคลายกล้ามเนื้อที่แข็งนั้นออกด้วยโดยการเล่นโยคะ ชี่กง ไท้เก๊ก ก็ได้
      เนื่องจากรอบๆสะดือเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นประธานสิบ เส้นใหญ่ๆที่สำคัญในร่างกายทั้งสิบเส้น เริ่มต้นจากรอบๆสะดือนี้ ถ้าเราทำให้กล้ามเนื้อหน้าท้องแข็งแรง แนวเส้นที่อยู่รอบๆบริเวณนี้ การไหลเวียนเลือดและลมก็จะไม่ปกติ ก็จะส่งผลกระทบทำให้การทำงานของอวัยวะทั่วร่างกายโดนกระทบไปหมด

วันอังคารที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2560

ทำบอลลูนระบบลมในเส้น

ทำบอลลูนระบบลมในเส้น

การนวดเส้นคือ การนวดเส้นที่มีเลือดและลมแล่นอยู่
       ลมที่แล่นอยู่ในร่างกายเป็นนามธรรม ไม่สามารถจับต้องได้ เครื่องมือทางแพทย์ปัจจุบันมิอาจตรวจพบได้ จะมีแต่ผู้ป่วยที่เกิดจากการขัดของลม ที่ลมในกายไหลเวียนออกนอกกายได้ไม่เป็นปกติ  ที่ป่วยจนอาการเรื้อรังแล้วเท่านั้นที่จะเข้าใจ
   มีอาการร้อนผ่าวๆอยู่ในกายแต่ไม่มีไข้
   มีอาการปวดแสบปวดร้อนตามแนวที่เคยโดนกระแทก
   มีความรู้สึกคันเหมือนมดไต่อยู่ใต้ผิว
   อาการลมแน่นท้อง เสียดลิ้นปี่
   ตามองเห็นไม่ชัด ลมออกหู อาการภูมิแพ้หายใจแห้งๆไม่มีน้ำมูก มึนในศีรษะ
    มีอาการเสียวแปลบที่ข้อเท้า ที่หายบวม หายปวดมานานเป็นสิบๆปี
       ฯลฯ  
        อาการทั้งหมดนี้เป็นผลพวงที่มาจากการที่เลือดและลมไหลเวียนไม่ปกติ เวลาที่เส้นเลือดหัวใจอุด ตีบ ตัน จนทำให้เลือดเข้าไปเลี้ยงหัวใจไม่พอ  เรายังสามารถทำบอลลูนเส้นเลือด โดยการสอดเครื่องมือทางการแพทย์เข้าไปเคลียร์ไขมันที่อุดตันในเส้นเลือด จึงทำให้เลือดไหลไปเลี้ยงเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจได้ตามปกติ
        แต่เวลาที่ลมในกายเรามีอาการขัด ไหลเวียนไม่เป็นปกติ การไหลเวียนของลมในเส้น ก็คือในแนวเส้นเลือดนั้นลมอุดตันจะไหลเวียนออกนอกร่างกายไม่ได้ จึงทำให้เกิดอาการต่างๆของโรคที่เกิดจากการขัดของลม การนวดไล่ลมเปรียบแล้วก็เหมือนการลอกท่อระบายน้ำ ถ้าเราลอกท่อระบายน้ำแล้ว ถ้าฝนตกลงมา น้ำก็จะไหลลงท่อระบายน้ำ แล้วไหลลงบ่อน้ำทิ้ง การท่วมของน้ำบนผิวถนนจึงไม่เกิดขึ้น
        การกดนวด โดยการนวดไล่ลม เป็นการกดนวดที่ทำให้ลมในเส้น หรือลมในเส้นเลือดมีการไหลเวียนดีขึ้น เหมือนกับการทำบอลลูนในทางการแพทย์ปัจจุบันที่ใช้เครื่องมือช่วยในการไหลเวียนของเลือด  การนวดไล่ลม ถ้าเปรียบแล้วก็คือการทำบอลลูนระบบการไหลเวียนของลมในเส้นเลือด สามารถบำบัดทำให้ลมที่ขัดตามเส้นเลือดให้ไหลเวียนได้เป็นปกติ  คือลมไหลออกตามข้อต่างๆ ออกตามทวารต่างๆ ออกตามรูขุมขนต่างๆทั่วร่างกาย อาการที่เป็นอยู่ก็จะคลายและหายไปเอง

       
 

วันอังคารที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2560

ความสัมพันธ์ธาตุดินน้ำลมไฟ

ความสัมพันธ์ธาตุดินน้ำลมไฟ

       การบำบัดธาตุทั้งสี่ในร่างกายเราเป็นเรื่องที่สำคัญ ธาตุทั้งสี่มีความสัมพันธ์กัน  ไม่ใช่แค่บำบัดแต่ธาตุดินและธาตุน้ำเท่านั้น แต่ธาตุลมและธาตุไฟที่เรามองไม่เห็น เราก็ต้องบำบัดด้วย ต้องบำบัดให้ธาตุทั้งสี่กลับมามีความสมดุลตามปกติของร่างกาย
ธาตุดิน
 ต้องนวด คลึง คลายให้กล้ามเนื้อคลายตัวไม่แข็งตึง เส้นเลือดที่ตีบตันก็จะขยายขึ้นได้
  , ต้องนวดคลึงให้พังผืดคลายตัว
ธาตุน้ำ
  เมื่อนวดกล้ามเนื้อให้คลายความความตึงแล้ว การไหลเวียนของเลือดในเส้นเลือดก็จะดีขึ้น จะฟื้นตัวขึ้นมา
ธาตุลม
  การนวดเส้นคือการนวดเส้นที่มีเลือดและลมแล่นอยู่ เมื่อกล้ามเนื้อคลายตัว เส้นเลือดก็ขยายตัวได้ดีขึ้น เลือดก็ไหลเวียนได้ดีขึ้น ลมซึ่งไหลเวียนอยู่ในเส้นก็จะไหลเวียนเข้า-ออกนอกกายได้ดีขึ้น อาการลมที่ขัดในร่างกายก็จะเบาลง
ธาตุไฟ
  การที่ลมไหลเวียนออกนอกกายได้ ลมจะลากพาให้พลังงานที่เก็บสั่งสมในร่างกายให้คลายตัวไหลออกไปนอกร่างกายตามทวารต่างๆ รยางค์ต่างๆ ตามข้อต่างๆ ตามรูขุมขนทั่วร่างกาย  ทำให้อาการตัวร้อนแต่ไม่มีไข้จะดับและหายไปเอง
    ที่กล่าวมาคือความสัมพันธ์ ธาตุดินน้ำลมไฟ ในร่างกาย ทำไมเราถึงบำบัดอาการเรื้อรังไม่ได้ เพราะเราไม่ได้แก้อาการขัดของลม เมื่อเราบำบัดทำให้ธาตุลมไหลเวียนได้ปกติ ลมจะลากพาให้พลังงานที่เก็บสั่งสมในร่างกายให้คลายตัว ไหลออกไปนอกร่างกายตามทวารต่างๆ รยางค์ต่างๆ ตามข้อต่างๆ ตามรูขุมขนทั่วร่างกาย อาการเรื้อรังต่างๆที่รักษามานาน ก็จะค่อยๆทุเลาหายไปเอง

วันศุกร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2560

ดับอาการร้อนในกาย

ดับอาการร้อนในกาย

           วันนี้จะพูดถึงผลข้างเคียงที่ได้จากการนวด ถ้าเราสามารถนวดปรับธาตุทั้งสี่ คือดินน้ำลมไฟ ให้ค่อยๆกลับมาสู่สมดุลของร่างกายคือ
   ธาตุดิน กล้ามเนื้อไม่ตึง เกร็ง แข็ง พังผืดก็ถูกนวดคลึงให้สลายออกไป การทำงานของของกล้ามเนื้อ อวัยวะนั้นๆกลับมาเป็นปกติ
   ธาตุน้ำ ระบบไหลเวียนเลือดแดง เลือดดำ น้ำเหลือง ไหลเวียนได้เป็นปกติ
   ธาตุลม การไหลเวียนของลมในกายไม่เกิดการติดขัด ลมออกตามรูขุมขนได้เป็นปกติ  เมื่อลมไหลเวียนได้พลังงานที่เคยสะเทือนเข้ามาในกายก็ระบายออกนอกกายเราไปได้
   ธาตุไฟ อาการที่เกิดจากธาตุลมขัดทำให้ธาตุไฟกำเริบ การที่มีความรู้สึกร้อนผ่าวๆอยู่ในตัว แต่เมื่อวัดอุณหภูมิในกายแล้วไม่มีไข้ จะกินยาลดไข้ กินฟ้าทลายโจรความร้อนในกายก็ไม่ดับไป  เมื่อเราปรับสมดุลธาตุลมในกายได้แล้ว อาการร้อนในกายนี้ก็จะหายไปเอง
      การนวดผ่อนคลาย การนวดน้ำมัน  นวดแก้อาการ การฝังเข็ม จัดกระดูก โดยรวมแล้วช่วยปรับสมดุลธาตุดิน ธาตุน้ำ
       แต่ถ้าเรานำแนวทางการนวดไล่ลมเข้าไปผสมผสาน ก็จะสามารถบำบัดได้ทั้งธาตุทั้งสี่ ดินน้ำลมไฟ บำบัดอาการเรื้อรังที่บางคนเป็นมาหลายสิบปีให้หายได้ หายเร็วหายช้าก็อยู่ที่ความแปรปรวนของธาตุทั้งสี่ อาการหลายๆอย่างเช่น อาการร้อนข้างในกาย แต่ไม่มีไข้  อาการเจ็บลึกๆตรงบริเวณแนวกล้ามเนื้อ อวัยวะที่เคยบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ เคยโดนรถชน ตกจากที่สูง ศีรษะกระแทก แขนกระชาก ลื่นล้มก้นกระแทก หลังฟาดพื้น ขาพลิกขาแพลง อาการขัดของลมในเส้นต่างๆ
      อาการต่างๆที่ได้กล่าวมานี้แม้ว่าเราจะกินน้ำมากๆ กินสมุนไพรที่ช่วยดับร้อนใน ความร้อนผ่าวในกายก็ไม่ดับลงไป เพียงแค่เราปรับธาตุลมที่ขัดในกายเรา ให้ไหลเวียนออกนอกกายได้เป็นปกติ ตามแขนขาศีรษะ ตามทวารต่างๆ ตามข้อต่างๆ ตามรูขุมขนต่างๆทั่วร่างกาย เมื่อนั้นอาการร้อนในกายแต่ไม่มีไข้ที่เป็นเรื้อรังมา ก็จะค่อยๆดับลงไปเอง

วันพุธที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2560

กล้ามเนื้อแข็งแรง เลือดลมไม่เดิน

กล้ามเนื้อแข็งแรง เลือดลมไม่เดิน

การนวดเส้น คือการนวดเส้นที่มีเลือดและลมแล่นอยู่ ในเรื่องของการไหลเวียนของลมในกาย วันนี้จะกล่าวถึงความเข้าใจในส่วนของกล้ามเนื้อ เรามีความเข้าใจว่า กล้ามเนื้อแข็งแรง กล้ามเนื้อเป็นมัดๆ เป็นเครื่องบ่งบอกถึงการมีสุขภาพแข็งแรง การวิ่ง การเพาะกาย การเล่นฟิตเนส การออกกำลังเล่นกีฬาต่างๆ การทำงานยกของ การเล่นกล้ามหน้าท้อง ทุกๆการกระทำที่ทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรงเป็นมัดๆ
ทำไมถึงบอกว่ากล้ามเนื้อแข็งแรง เลือดลมไม่เดิน
เนื่องจากตามกายภาพ แนวเส้น หรือเส้นเลือดต่างๆฝังตัวอยู่ในกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อแขน กล้ามเนื้อขา กล้ามเนื้อคอ กล้ามเนื้อหน้าท้อง ฯลฯ ดังนั้นถ้ากล้ามเนื้อต่างๆมีการแข็งตึงเป็นมัดๆ เลือดที่หัวใจสูบฉีดไปตามเส้นเลือดต่างๆทั่วร่างกาย ก็เหมือนกับโดนมือบีบทำให้เส้นเลือดมีความยืดหยุ่นลดลง วาล์วในเส้นเลือดก็โดนบีบทำให้ลดประสิทธิภาพในการลำเลียงเลือดแดง เลือดดำ ไปยังอวัยวะปลายทางได้
กล้ามเนื้อยิ่งแข็ง เลือดลมยิ่งไหลผ่านบริเวณนั้นได้น้อยลงไป อวัยวะปลายทางก็ได้รับเลือดไม่เพียงพอ จึงเกิดอาการชาตามปลายมือ ปลายเท้า อาการเส้นเลือดสมองขาดเลือด
กล้ามเนื้อยิ่งแข็งแรงเป็นมัดๆ ลมที่จะไหลเวียนผ่านก็จะโดนกระทบ ลมก็จะไปขัดอยู่บริเวณนั้น เมื่อลมไปค้างคาอยู่บริเวณนั้นนานขึ้น ความดันของลมที่คาอยู่บริเวณนั้นก็จะไปกดทับกล้ามเนื้อ ทำให้มีอาการปวด เมื่อยกล้ามเนื้อบริเวณนั้น
สังเกตไหมว่า เวลากล้ามเนื้อตะคริวขึ้น กล้ามเนื้อเราแข็งเกร็ง เราจะปวดกล้ามเนื้อนั้น
การที่เราไปนวดไม่ว่าจะเป็นการนวดผ่อนคลาย ก่อนนวดร่างกายเรากล้ามเนื้อแข็งเกร็ง พอนวดเสร็จกล้ามเนื้อเราจะนิ่มลงมา เราเลยมีความสบายกายมากขึ้นหลังจากนวด
สุดท้ายนี้การที่ร่างกายเรามีกล้ามเนื้อที่แข็งแรง กล้ามเป็นมัดๆ เป็นสิ่งที่ดี แต่เราก็ต้องทำให้กล้ามเนื้อนั้นมีความยืดหยุ่น เพื่อให้เลือดและลมไหลเวียนผ่านกล้ามเนื้อบริเวณนั้นได้เป็นปกติ
คุณคิดว่า การมีกล้ามเนื้อหน้าท้องที่แข็งแรง ซิกแพคหน้าท้อง มีผลกระทบอะไรกับเลือดลมของเรา

พลังงานที่มากระแทกร่างกายแล้วไปไหน ( ตอน 7.8 )

พลังงานที่มากระแทกร่างกายแล้วไปไหน ( ตอน 7.8 )

ความเรื้อรังของการบำบัดอาการ
ความเรื้อรังของการบำบัดอาการ ผู้ป่วยบางคนมานวดบำบัดอาการ นวดเพียงครั้งเดียวอาการที่เป็นเรื้อรังมานานหลายๆปีก็ทุเลาลงไป และหายไป แต่ผู้ป่วยบางคนต้องนวดบำบัดอาการอย่างต่อเนื่อง ต่อเนื่องเป็นเดือน เป็นปี ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น
การที่พลังงานสะท้านเข้ามาในร่างกายเรา จะเข้ามาจากทิศทางไหนก็ตาม จะเข้ามากี่ปีแล้วก็ตาม ถ้าสะท้านเข้ามาในร่างกายจากสภาวะปกติคือเป็นการเคลื่อนไหวร่างกายในชีวิตประจำวัน การบำบัดอาการจะไม่เรื้อรัง แต่ถ้าพลังงานที่สะท้านเข้ามาเกิดจากอุบัติเหตุต่างๆเช่นอุบัติเหตุจากรถชน ศีรษะกระแทก แขน ขากระแทก การกระโดดจากที่สูงแล้วปวดหลัง อุบัติเหตุจากการกระชากของแขน การล้มหงายหลังฟาดลงพื้น การที่มีวัตถุวิ่งกระแทกใส่ร่างกายเรา การผ่าตัด
ทุกๆการสะท้านเข้ามาของพลังงาน ถ้าเราไม่ได้มีการบำบัดให้พลังงานนี้ออกไป พลังงานนี้จะสั่งสม ไปเรื่อยๆ ถึงแม้อาการบาดเจ็บ อาการบวมของกล้ามเนื้อจะหายไปแล้ว ถ้าพังผืดที่เกิดขึ้นกับกล้ามเนื้อ และพลังงานที่สะท้านเข้าไปถ้ายังไม่ได้รับการแก้ไข พังผืดก็จะหนาขึ้นเรื่อยๆ พลังงานที่สั่งสมอยู่จะมากขึ้นเรื่อยๆ จะทำให้การไหลเวียนของเลือดลมไม่ดี
ยิ่งอาการที่เกิดจากอุบัติเหตุ การกระแทก กระชาก เมื่อเราไม่ได้แก้ไขให้เลือดลมเดินเป็นปกติ หลังจากเกิดอุบัติเหตุมาแล้ว1-2ปี บางคนจะเกิดอาการปวดแสบปวดร้อน อาการตึงปวดไปทั้งซีก อาการตัวร้อนแต่ไม่มีไข้ อาการต่างๆนี้เป็นสัญญาณเตือนให้รู้ว่า พลังงานที่เข้ามาในกาย สั่งสมเข้ามาในระดับหนึ่งแล้ว เริ่มจะเต็มล้นออกมา แสดงให้เห็นบ่อยขึ้น อาการหนักขึ้น บางครั้งจะเรอออกมาทางปาก
คนที่แค่เกิดอาการขัดของลม ถ้าเราบำบัดอาการให้ลมไหลเวียนออกจากกายได้ ลมก็จะพาพลังงานที่สั่งสมนี้ออกไป
แต่คนที่เกิดอุบัติเหตุ แรงกระทบทำให้เลือดลมหยุด ทำให้ร่างกายเกิดพังผืด และการไหลเวียนของเลือดและลมทั้งซีกหยุดไปชั่วขณะ แล้วจะฝังเก็บอาการนี้เข้าไป ถ้าเราไม่ได้แก้ไข การบำบัดจะเรื้อรังได้

พลังงานที่มากระแทกร่างกายแล้วไปไหน ( ตอน 7.7 )

พลังงานที่กระทบเข้ามาจากภายนอก โดยเกิดอุบัติเหตุ

การสั่งสมพลังงานที่กระทบเข้ามาจากภายนอกร่างกาย ไม่ว่าจะเข้าสู่ร่างกาย ณ.ส่วนใด จะเป็นศีรษะ แขน ขา ตามข้อกระดูกต่างๆ ตามรูขุมขนต่างๆ ทุกๆการกระทำ ทุกๆอิริยาบถของเรา จะมีพลังงานที่สะท้อนเข้ามาในร่างกาย ตามอวัยวะต่างๆที่ได้กระทำ และที่ถูกกระทำในเวลานั้นๆ
เมื่อเราเกิดอุบัติเหตุ ไม่ว่าจะเกิดกับอวัยวะส่วนใด แรงที่ปะทะเข้ามาในร่างกาย ตามอวัยวะต่างๆ จะส่งผลโดยตรงในขณะนั้นเพียงแค่เกิดอาการฟกช้ำดำเขียว การบาดเจ็บ แขนขาหัก เลือดคั่งในสมอง ปวดหลัง ปวดเอว ขาแพลง ฯลฯ
อาการต่างๆที่กล่าวมานี้ เมื่อเรารักษาไประยะหนึ่ง อาการปวด อาการบวม อักเสบของกล้ามเนื้อ ของอวัยวะนั้นๆก็จะค่อยๆทุเลา และหายไปในที่สุด แต่อาการที่มีพลังงานสะท้านเข้าไปในกาย ส่วนมากเราไม่เคพลังงานที่มากระแทกร่างกายแล้วไปไหน ( ตอน 7.7 )ยได้รับการบำบัดให้พลังงานที่เข้าไปนั้นออกมานอกร่างกายเลย นี่แหละคือสาเหตุที่ทำให้เรามีอาการบาดเจ็บเรื้อรัง ปวดลึกๆข้างใน เราคิดว่าเราปวดในกระดูก แต่ที่จริงแล้วคืออาการที่พลังงานที่สั่งสมอยู่ตามแนวเส้น อยู่อย่างหนาแน่นตั้งแต่ชั้นใต้ผิวหนังเราลงไปลึกๆในแนวเส้นที่เคยเกิดอาการบาดเจ็บ
เซลล์รับรู้ความรู้สึกของร่างกายคนเราจะอยู่ใต้ผิวหนัง ดังนั้นเมื่อเราเกิดอุบัติเหตุใหม่ๆ พลังงานที่สะท้านเข้ามา ก็จะยังอยู่ใต้ผิวหนังบริเวณที่เกิดการกระทบนั้น อาการปวด อักเสบกล้ามเนื้อ ร่างกายเราก็จะสร้างพังผืดเพื่อป้องกันไม่ให้กล้ามเนื้อบาดเจ็บมากขึ้น และเมื่อเรารักษาอาการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อให้หายปวด หายเจ็บ หายบวมได้แล้ว อาการข้างเคียงต่างๆดีขึ้นเรื่อยๆตามลำดับ โดยรวมแล้วเราคิดว่าการรักษาอาการบาดเจ็บในอุบัติเหตุครั้งนั้นหายแล้ว แต่ยังมีพังผืดที่เกิดขึ้น และพลังงานที่สะท้านเข้ามาในร่างกายเรายังไม่ได้รับการแก้ไข
พังผืด ที่ค้างอยู่ในกายเรา ถ้าไม่ได้รับการแก้ไขก็จะเพิ่มชั้นขึ้นมา ทำให้เวลาเรากดนวดไปตามแนวเส้นจะไม่ค่อยรู้สึก ที่เคยได้ยินกันว่าเส้นจม ถ้าเราคลายพังผืดโดยการนวด การคลึงบ่อยๆ พังผืดที่มีอยู่ก็จะค่อยๆบางลง แล้วการกดนวดของเราไปที่แนวเส้นก็จะสามารถทะลุทะลวงลงไปได้
ส่วนพลังงานที่สะท้านเข้าไป เราจะเอาออกมาได้ก็เพียงแค่ทำให้ลมในกายไหลเวียนได้เป็นปกติ คือลมเข้าตามทวารต่างๆ ลมเข้าทางศีรษะ แขน ขา และลมเข้าตามรูขุมขนต่างๆทั่วร่างกาย ต้องทำให้ลมหรือพลังงานที่เข้ามาให้ไหลออกไปตามทวาร ตามรูขุมขนต่างๆทั่วร่างกาย อาการเจ็บป่วยที่เรื้อรังก็จะค่อยๆทุเลาดีขึ้น และหายไปในที่สุด
อย่างเช่น เราเคยขาพลิก-ขาแพลง เมื่อ10-20 ปีที่แล้ว ขณะนี้อาการบวมปวดไม่มีแล้ว แต่ในบางครั้ง อากาศเย็น หรือเราเดินมากๆ เรายังมีอาการเสียวแปลบๆที่ข้อเท้าด้านนอก
ตอนที่เราเด็กๆ เราชอบปีนต้นไม้ และกระโดดลงมา เคยมีการบาดเจ็บในขณะนั้นปวดเสียวไปที่แนวกระดูกสันหลัง เรารักษาไปจนอาการปวดบวมนั้นหายไปแล้ว แต่หลังจากนั้นหลายๆปีผ่านไป เราจะมีปัญหาเส้นหลังติดกระดูกสันหลัง หลังตึงเอี้ยวตัวไม่ค่อยได้ และบางครั้งจะมีอาการแปลบๆอยู่บริเวณที่เคยบาดเจ็บ และถ้าเรายังคงกระโดดลงมาจากที่สูงบ่อยๆ ก็จะสะเทือนเข้าไปตรงแนวที่เคยบาดเจ็บอีก
ฯลฯ

วันจันทร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2560

พลังงานที่มากระแทกร่างกายแล้วไปไหน ( ตอน 7.4 )

พลังงานที่มากระแทกร่างกายแล้วไปไหน ( ตอน 7.4 )

จุกเสียดลิ้นปี่ กรดไหลย้อน
เมื่อใดก็ตามที่เราใช้ชีวิตประจำวันด้วยการเดิน การยืน การกระโดด หรือแม้แต่การนั่งขับรถมีการเหยียบเบรก เหยียบคลัช พลังงานเข้าสู่ร่างกาย เริ่มจากฝ่าเท้า ส้นเท้า เอ็นร้อยหวาย น่อง ขาท่อนบน แก้มก้น ก้นกบ แนวเส้นขนานติดกระดูกสันหลัง ในช่องท้อง แนวบ่า แนวต้นคอ และไปสิ้นสุดที่บนศีรษะ
ในสภาวะปกติ ทุกๆก้าว ทุกๆการกระทำ พลังงานที่สะเทือนเข้ามาในร่างกาย จะค่อยๆสั่งสมเพิ่มเติมขึ้นมา เริ่มจากฝ่าเท้า แล้วค่อยๆแน่นไปตลอดแนวจนถึงบนศีรษะ ถ้าพลังงานสั่งสมมาถึงช่องท้องเมื่อไร ให้เราคิดตามนะครับ
รอบๆสะดือเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นประธานสิบ เป็นเส้นหลักๆที่สำคัญ ลากผ่านไปตามกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้ออวัยวะ ต่างๆทั่วร่างกาย
จากความหมายของการนวดเส้น คือการนวดเส้นที่มีเลือดและลมแล่นอยู่ ดังนั้นแนวเส้นประธานสิบ แนวรอบๆสะดือ จึงเป็นจุดศูนย์กลาง เป็นจุดเริ่มต้นของการไหลแล่นผ่านของลม เพื่อไปตามแนวเส้นหลักๆทั้งสิบเส้น ในระหว่างทางถ้าลมขัดที่ใดไม่สามารถแล่นผ่านไปยังอวัยวะปลายทางของเส้นนั้นๆได้ พลังงานที่ซึมซับเข้ามาทุกวันๆ ไม่มีการเคลื่อนไหว แล้วพลังงานเมื่อเข้ามาแล้วออกนอกกายไม่ได้ จะทำให้เกิดอะไรกับอวัยวะของเรา
ในช่องท้องเรา เรามองลงไป มีอวัยวะต่างๆ ตั้งแต่บริเวณทรวงอกถึงท้องน้อย เช่น หัวใจ ตับ ไต ปอด กระเพาะอาหาร แนวสะดือก็จะมีลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ บริเวณท้องน้อยก็จะเป็นกระเพาะปัสสาวะ อวัยวะสืบพันธุ์ไม่ว่าจะเป็นเพศชายหรือหญิง
กรณีของกระเพาะอาหาร เป็นอวัยวะอย่างหนึ่งที่อยู่ในช่องท้อง กระเพาะอาหารก็จะมีการบีบรัดตัว เป็นพลังงานกล ทำให้อาหารและน้ำย่อยที่หลั่งลงมาคลุกเคล้ากัน เป็นตัวช่วยในระบบการย่อยอาหาร
เมื่อลมแน่นในช่องท้อง ( ไม่ใช่แก๊สในกระเพาะอาหาร ) นั่นหมายถึงการไหลเวียนของลมตามแนวเส้นที่ผ่านมาถึงช่องท้อง ลมไม่สามารถเคลื่อนออกไปได้ ย่อมมีผลต่อพลังงานที่เรารับมาทุกทิศทุกทาง ไม่ว่าจะมาจากด้านบนลำตัว คืออาการปวดเมื่อยคอบ่าไหล่ ซึ่งบางคนจะมีอาการเรอบ่อยๆ อาการหมอนรองกระดูกเคลื่อนทับเส้นประสาทขา แต่อาการหลักๆที่ทำให้ลมในท้องขัด แน่นขึ้น ไหลเวียนไม่ได้ จะมาจากการที่เรายืน เดิน กระโดดมาก เป็นอาการที่สะสมมาเรื่อยๆ เกิดจากความตึงของกล้ามเนื้อ แนวเส้นจากฝ่าเท้า น่อง ขึ้นมา
เมื่อลมไม่เคลื่อนอัดแน่นอยู่ในช่องท้อง กระเพาะอาหารเราก็จะโดนลม หรือพลังงานที่ล้อมรอบนั้นกดทับ บีบ ทำให้การขยับ บีบรัดตัวของกระเพาะอาหารเสียสภาพไป กระเพาะอาหารหดตัวแล้วคลายตัวออกมาไม่ได้ เหมือนกับมีมือมาบีบ จึงทำให้กระเพาะอาหารมีเสียสภาพไป คือขนาดเล็กลง
เมื่อหดตัวแล้วขยายตัวไม่ขึ้น พลังงานกลเสียไป อาหารกับน้ำย่อยก็คลุกเคล้ากันได้น้อยลง เราจึงมีอาการกินแล้วไม่ย่อย ท้องอืดเฟ้อ เมื่อไม่หิวเราก็ไม่กิน กินไม่ตรงเวลา จึงทำให้เป็นโรคกระเพาะในเวลาต่อมา
เมื่อมีลมแน่นอยู่ในช่องท้อง ลมหรือพลังงานที่แน่นอยู่ทำให้กระเพาะมีขนาดเล็กกว่าปกติ เมื่อน้ำย่อยหลั่งลงมาในกระเพาะ ระดับของน้ำย่อยจึงสูงกว่าปกติในระดับหนึ่ง มีผลให้ความเป็นกรดของน้ำย่อย มีการระเหยขึ้นมาถึงบริเวณลำคอ เราจึงมีความรู้สึกว่าไม่ว่าเราจะยืน จะนั่ง จะนอนก็ตาม เมื่อเรอออกมาที่ลำคอจะมีกลิ่นเหม็นเปรี้ยวเหมือนน้ำย่อยไหลย้อนขึ้นลำคอ
เมื่อเรากดนวด แนวขาท่อนบนในท่านอนคว่ำ จะทำให้ลมในแนวเส้นไหลออกไปถึงปลายเท้า เมื่อลมในแนวขามีความดันลมหรือพลังงานน้อยลง ลมหรือพลังงานที่แน่นอยู่ในช่องท้องก็จะแพร่ ไหลลงมาตามแนวเส้นผ่านออกมาทางขา วิ่งออกปลายนิ้วเท้า
เมื่อลมในช่องท้องคลายตัวลง อาการลมแน่นท้องก็คลายตัวลง กระเพาะอาหารก็กลับมาหดและขยายตัวได้เป็นปกติ เมื่อนั้นอาการกรดไหลย้อนก็หายไปเอง