วันพุธที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2560

กล้ามเนื้อแข็งแรง เลือดลมไม่เดิน

กล้ามเนื้อแข็งแรง เลือดลมไม่เดิน

การนวดเส้น คือการนวดเส้นที่มีเลือดและลมแล่นอยู่ ในเรื่องของการไหลเวียนของลมในกาย วันนี้จะกล่าวถึงความเข้าใจในส่วนของกล้ามเนื้อ เรามีความเข้าใจว่า กล้ามเนื้อแข็งแรง กล้ามเนื้อเป็นมัดๆ เป็นเครื่องบ่งบอกถึงการมีสุขภาพแข็งแรง การวิ่ง การเพาะกาย การเล่นฟิตเนส การออกกำลังเล่นกีฬาต่างๆ การทำงานยกของ การเล่นกล้ามหน้าท้อง ทุกๆการกระทำที่ทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรงเป็นมัดๆ
ทำไมถึงบอกว่ากล้ามเนื้อแข็งแรง เลือดลมไม่เดิน
เนื่องจากตามกายภาพ แนวเส้น หรือเส้นเลือดต่างๆฝังตัวอยู่ในกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อแขน กล้ามเนื้อขา กล้ามเนื้อคอ กล้ามเนื้อหน้าท้อง ฯลฯ ดังนั้นถ้ากล้ามเนื้อต่างๆมีการแข็งตึงเป็นมัดๆ เลือดที่หัวใจสูบฉีดไปตามเส้นเลือดต่างๆทั่วร่างกาย ก็เหมือนกับโดนมือบีบทำให้เส้นเลือดมีความยืดหยุ่นลดลง วาล์วในเส้นเลือดก็โดนบีบทำให้ลดประสิทธิภาพในการลำเลียงเลือดแดง เลือดดำ ไปยังอวัยวะปลายทางได้
กล้ามเนื้อยิ่งแข็ง เลือดลมยิ่งไหลผ่านบริเวณนั้นได้น้อยลงไป อวัยวะปลายทางก็ได้รับเลือดไม่เพียงพอ จึงเกิดอาการชาตามปลายมือ ปลายเท้า อาการเส้นเลือดสมองขาดเลือด
กล้ามเนื้อยิ่งแข็งแรงเป็นมัดๆ ลมที่จะไหลเวียนผ่านก็จะโดนกระทบ ลมก็จะไปขัดอยู่บริเวณนั้น เมื่อลมไปค้างคาอยู่บริเวณนั้นนานขึ้น ความดันของลมที่คาอยู่บริเวณนั้นก็จะไปกดทับกล้ามเนื้อ ทำให้มีอาการปวด เมื่อยกล้ามเนื้อบริเวณนั้น
สังเกตไหมว่า เวลากล้ามเนื้อตะคริวขึ้น กล้ามเนื้อเราแข็งเกร็ง เราจะปวดกล้ามเนื้อนั้น
การที่เราไปนวดไม่ว่าจะเป็นการนวดผ่อนคลาย ก่อนนวดร่างกายเรากล้ามเนื้อแข็งเกร็ง พอนวดเสร็จกล้ามเนื้อเราจะนิ่มลงมา เราเลยมีความสบายกายมากขึ้นหลังจากนวด
สุดท้ายนี้การที่ร่างกายเรามีกล้ามเนื้อที่แข็งแรง กล้ามเป็นมัดๆ เป็นสิ่งที่ดี แต่เราก็ต้องทำให้กล้ามเนื้อนั้นมีความยืดหยุ่น เพื่อให้เลือดและลมไหลเวียนผ่านกล้ามเนื้อบริเวณนั้นได้เป็นปกติ
คุณคิดว่า การมีกล้ามเนื้อหน้าท้องที่แข็งแรง ซิกแพคหน้าท้อง มีผลกระทบอะไรกับเลือดลมของเรา

พลังงานที่มากระแทกร่างกายแล้วไปไหน ( ตอน 7.8 )

พลังงานที่มากระแทกร่างกายแล้วไปไหน ( ตอน 7.8 )

ความเรื้อรังของการบำบัดอาการ
ความเรื้อรังของการบำบัดอาการ ผู้ป่วยบางคนมานวดบำบัดอาการ นวดเพียงครั้งเดียวอาการที่เป็นเรื้อรังมานานหลายๆปีก็ทุเลาลงไป และหายไป แต่ผู้ป่วยบางคนต้องนวดบำบัดอาการอย่างต่อเนื่อง ต่อเนื่องเป็นเดือน เป็นปี ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น
การที่พลังงานสะท้านเข้ามาในร่างกายเรา จะเข้ามาจากทิศทางไหนก็ตาม จะเข้ามากี่ปีแล้วก็ตาม ถ้าสะท้านเข้ามาในร่างกายจากสภาวะปกติคือเป็นการเคลื่อนไหวร่างกายในชีวิตประจำวัน การบำบัดอาการจะไม่เรื้อรัง แต่ถ้าพลังงานที่สะท้านเข้ามาเกิดจากอุบัติเหตุต่างๆเช่นอุบัติเหตุจากรถชน ศีรษะกระแทก แขน ขากระแทก การกระโดดจากที่สูงแล้วปวดหลัง อุบัติเหตุจากการกระชากของแขน การล้มหงายหลังฟาดลงพื้น การที่มีวัตถุวิ่งกระแทกใส่ร่างกายเรา การผ่าตัด
ทุกๆการสะท้านเข้ามาของพลังงาน ถ้าเราไม่ได้มีการบำบัดให้พลังงานนี้ออกไป พลังงานนี้จะสั่งสม ไปเรื่อยๆ ถึงแม้อาการบาดเจ็บ อาการบวมของกล้ามเนื้อจะหายไปแล้ว ถ้าพังผืดที่เกิดขึ้นกับกล้ามเนื้อ และพลังงานที่สะท้านเข้าไปถ้ายังไม่ได้รับการแก้ไข พังผืดก็จะหนาขึ้นเรื่อยๆ พลังงานที่สั่งสมอยู่จะมากขึ้นเรื่อยๆ จะทำให้การไหลเวียนของเลือดลมไม่ดี
ยิ่งอาการที่เกิดจากอุบัติเหตุ การกระแทก กระชาก เมื่อเราไม่ได้แก้ไขให้เลือดลมเดินเป็นปกติ หลังจากเกิดอุบัติเหตุมาแล้ว1-2ปี บางคนจะเกิดอาการปวดแสบปวดร้อน อาการตึงปวดไปทั้งซีก อาการตัวร้อนแต่ไม่มีไข้ อาการต่างๆนี้เป็นสัญญาณเตือนให้รู้ว่า พลังงานที่เข้ามาในกาย สั่งสมเข้ามาในระดับหนึ่งแล้ว เริ่มจะเต็มล้นออกมา แสดงให้เห็นบ่อยขึ้น อาการหนักขึ้น บางครั้งจะเรอออกมาทางปาก
คนที่แค่เกิดอาการขัดของลม ถ้าเราบำบัดอาการให้ลมไหลเวียนออกจากกายได้ ลมก็จะพาพลังงานที่สั่งสมนี้ออกไป
แต่คนที่เกิดอุบัติเหตุ แรงกระทบทำให้เลือดลมหยุด ทำให้ร่างกายเกิดพังผืด และการไหลเวียนของเลือดและลมทั้งซีกหยุดไปชั่วขณะ แล้วจะฝังเก็บอาการนี้เข้าไป ถ้าเราไม่ได้แก้ไข การบำบัดจะเรื้อรังได้

พลังงานที่มากระแทกร่างกายแล้วไปไหน ( ตอน 7.7 )

พลังงานที่กระทบเข้ามาจากภายนอก โดยเกิดอุบัติเหตุ

การสั่งสมพลังงานที่กระทบเข้ามาจากภายนอกร่างกาย ไม่ว่าจะเข้าสู่ร่างกาย ณ.ส่วนใด จะเป็นศีรษะ แขน ขา ตามข้อกระดูกต่างๆ ตามรูขุมขนต่างๆ ทุกๆการกระทำ ทุกๆอิริยาบถของเรา จะมีพลังงานที่สะท้อนเข้ามาในร่างกาย ตามอวัยวะต่างๆที่ได้กระทำ และที่ถูกกระทำในเวลานั้นๆ
เมื่อเราเกิดอุบัติเหตุ ไม่ว่าจะเกิดกับอวัยวะส่วนใด แรงที่ปะทะเข้ามาในร่างกาย ตามอวัยวะต่างๆ จะส่งผลโดยตรงในขณะนั้นเพียงแค่เกิดอาการฟกช้ำดำเขียว การบาดเจ็บ แขนขาหัก เลือดคั่งในสมอง ปวดหลัง ปวดเอว ขาแพลง ฯลฯ
อาการต่างๆที่กล่าวมานี้ เมื่อเรารักษาไประยะหนึ่ง อาการปวด อาการบวม อักเสบของกล้ามเนื้อ ของอวัยวะนั้นๆก็จะค่อยๆทุเลา และหายไปในที่สุด แต่อาการที่มีพลังงานสะท้านเข้าไปในกาย ส่วนมากเราไม่เคพลังงานที่มากระแทกร่างกายแล้วไปไหน ( ตอน 7.7 )ยได้รับการบำบัดให้พลังงานที่เข้าไปนั้นออกมานอกร่างกายเลย นี่แหละคือสาเหตุที่ทำให้เรามีอาการบาดเจ็บเรื้อรัง ปวดลึกๆข้างใน เราคิดว่าเราปวดในกระดูก แต่ที่จริงแล้วคืออาการที่พลังงานที่สั่งสมอยู่ตามแนวเส้น อยู่อย่างหนาแน่นตั้งแต่ชั้นใต้ผิวหนังเราลงไปลึกๆในแนวเส้นที่เคยเกิดอาการบาดเจ็บ
เซลล์รับรู้ความรู้สึกของร่างกายคนเราจะอยู่ใต้ผิวหนัง ดังนั้นเมื่อเราเกิดอุบัติเหตุใหม่ๆ พลังงานที่สะท้านเข้ามา ก็จะยังอยู่ใต้ผิวหนังบริเวณที่เกิดการกระทบนั้น อาการปวด อักเสบกล้ามเนื้อ ร่างกายเราก็จะสร้างพังผืดเพื่อป้องกันไม่ให้กล้ามเนื้อบาดเจ็บมากขึ้น และเมื่อเรารักษาอาการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อให้หายปวด หายเจ็บ หายบวมได้แล้ว อาการข้างเคียงต่างๆดีขึ้นเรื่อยๆตามลำดับ โดยรวมแล้วเราคิดว่าการรักษาอาการบาดเจ็บในอุบัติเหตุครั้งนั้นหายแล้ว แต่ยังมีพังผืดที่เกิดขึ้น และพลังงานที่สะท้านเข้ามาในร่างกายเรายังไม่ได้รับการแก้ไข
พังผืด ที่ค้างอยู่ในกายเรา ถ้าไม่ได้รับการแก้ไขก็จะเพิ่มชั้นขึ้นมา ทำให้เวลาเรากดนวดไปตามแนวเส้นจะไม่ค่อยรู้สึก ที่เคยได้ยินกันว่าเส้นจม ถ้าเราคลายพังผืดโดยการนวด การคลึงบ่อยๆ พังผืดที่มีอยู่ก็จะค่อยๆบางลง แล้วการกดนวดของเราไปที่แนวเส้นก็จะสามารถทะลุทะลวงลงไปได้
ส่วนพลังงานที่สะท้านเข้าไป เราจะเอาออกมาได้ก็เพียงแค่ทำให้ลมในกายไหลเวียนได้เป็นปกติ คือลมเข้าตามทวารต่างๆ ลมเข้าทางศีรษะ แขน ขา และลมเข้าตามรูขุมขนต่างๆทั่วร่างกาย ต้องทำให้ลมหรือพลังงานที่เข้ามาให้ไหลออกไปตามทวาร ตามรูขุมขนต่างๆทั่วร่างกาย อาการเจ็บป่วยที่เรื้อรังก็จะค่อยๆทุเลาดีขึ้น และหายไปในที่สุด
อย่างเช่น เราเคยขาพลิก-ขาแพลง เมื่อ10-20 ปีที่แล้ว ขณะนี้อาการบวมปวดไม่มีแล้ว แต่ในบางครั้ง อากาศเย็น หรือเราเดินมากๆ เรายังมีอาการเสียวแปลบๆที่ข้อเท้าด้านนอก
ตอนที่เราเด็กๆ เราชอบปีนต้นไม้ และกระโดดลงมา เคยมีการบาดเจ็บในขณะนั้นปวดเสียวไปที่แนวกระดูกสันหลัง เรารักษาไปจนอาการปวดบวมนั้นหายไปแล้ว แต่หลังจากนั้นหลายๆปีผ่านไป เราจะมีปัญหาเส้นหลังติดกระดูกสันหลัง หลังตึงเอี้ยวตัวไม่ค่อยได้ และบางครั้งจะมีอาการแปลบๆอยู่บริเวณที่เคยบาดเจ็บ และถ้าเรายังคงกระโดดลงมาจากที่สูงบ่อยๆ ก็จะสะเทือนเข้าไปตรงแนวที่เคยบาดเจ็บอีก
ฯลฯ

วันจันทร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2560

พลังงานที่มากระแทกร่างกายแล้วไปไหน ( ตอน 7.4 )

พลังงานที่มากระแทกร่างกายแล้วไปไหน ( ตอน 7.4 )

จุกเสียดลิ้นปี่ กรดไหลย้อน
เมื่อใดก็ตามที่เราใช้ชีวิตประจำวันด้วยการเดิน การยืน การกระโดด หรือแม้แต่การนั่งขับรถมีการเหยียบเบรก เหยียบคลัช พลังงานเข้าสู่ร่างกาย เริ่มจากฝ่าเท้า ส้นเท้า เอ็นร้อยหวาย น่อง ขาท่อนบน แก้มก้น ก้นกบ แนวเส้นขนานติดกระดูกสันหลัง ในช่องท้อง แนวบ่า แนวต้นคอ และไปสิ้นสุดที่บนศีรษะ
ในสภาวะปกติ ทุกๆก้าว ทุกๆการกระทำ พลังงานที่สะเทือนเข้ามาในร่างกาย จะค่อยๆสั่งสมเพิ่มเติมขึ้นมา เริ่มจากฝ่าเท้า แล้วค่อยๆแน่นไปตลอดแนวจนถึงบนศีรษะ ถ้าพลังงานสั่งสมมาถึงช่องท้องเมื่อไร ให้เราคิดตามนะครับ
รอบๆสะดือเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นประธานสิบ เป็นเส้นหลักๆที่สำคัญ ลากผ่านไปตามกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้ออวัยวะ ต่างๆทั่วร่างกาย
จากความหมายของการนวดเส้น คือการนวดเส้นที่มีเลือดและลมแล่นอยู่ ดังนั้นแนวเส้นประธานสิบ แนวรอบๆสะดือ จึงเป็นจุดศูนย์กลาง เป็นจุดเริ่มต้นของการไหลแล่นผ่านของลม เพื่อไปตามแนวเส้นหลักๆทั้งสิบเส้น ในระหว่างทางถ้าลมขัดที่ใดไม่สามารถแล่นผ่านไปยังอวัยวะปลายทางของเส้นนั้นๆได้ พลังงานที่ซึมซับเข้ามาทุกวันๆ ไม่มีการเคลื่อนไหว แล้วพลังงานเมื่อเข้ามาแล้วออกนอกกายไม่ได้ จะทำให้เกิดอะไรกับอวัยวะของเรา
ในช่องท้องเรา เรามองลงไป มีอวัยวะต่างๆ ตั้งแต่บริเวณทรวงอกถึงท้องน้อย เช่น หัวใจ ตับ ไต ปอด กระเพาะอาหาร แนวสะดือก็จะมีลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ บริเวณท้องน้อยก็จะเป็นกระเพาะปัสสาวะ อวัยวะสืบพันธุ์ไม่ว่าจะเป็นเพศชายหรือหญิง
กรณีของกระเพาะอาหาร เป็นอวัยวะอย่างหนึ่งที่อยู่ในช่องท้อง กระเพาะอาหารก็จะมีการบีบรัดตัว เป็นพลังงานกล ทำให้อาหารและน้ำย่อยที่หลั่งลงมาคลุกเคล้ากัน เป็นตัวช่วยในระบบการย่อยอาหาร
เมื่อลมแน่นในช่องท้อง ( ไม่ใช่แก๊สในกระเพาะอาหาร ) นั่นหมายถึงการไหลเวียนของลมตามแนวเส้นที่ผ่านมาถึงช่องท้อง ลมไม่สามารถเคลื่อนออกไปได้ ย่อมมีผลต่อพลังงานที่เรารับมาทุกทิศทุกทาง ไม่ว่าจะมาจากด้านบนลำตัว คืออาการปวดเมื่อยคอบ่าไหล่ ซึ่งบางคนจะมีอาการเรอบ่อยๆ อาการหมอนรองกระดูกเคลื่อนทับเส้นประสาทขา แต่อาการหลักๆที่ทำให้ลมในท้องขัด แน่นขึ้น ไหลเวียนไม่ได้ จะมาจากการที่เรายืน เดิน กระโดดมาก เป็นอาการที่สะสมมาเรื่อยๆ เกิดจากความตึงของกล้ามเนื้อ แนวเส้นจากฝ่าเท้า น่อง ขึ้นมา
เมื่อลมไม่เคลื่อนอัดแน่นอยู่ในช่องท้อง กระเพาะอาหารเราก็จะโดนลม หรือพลังงานที่ล้อมรอบนั้นกดทับ บีบ ทำให้การขยับ บีบรัดตัวของกระเพาะอาหารเสียสภาพไป กระเพาะอาหารหดตัวแล้วคลายตัวออกมาไม่ได้ เหมือนกับมีมือมาบีบ จึงทำให้กระเพาะอาหารมีเสียสภาพไป คือขนาดเล็กลง
เมื่อหดตัวแล้วขยายตัวไม่ขึ้น พลังงานกลเสียไป อาหารกับน้ำย่อยก็คลุกเคล้ากันได้น้อยลง เราจึงมีอาการกินแล้วไม่ย่อย ท้องอืดเฟ้อ เมื่อไม่หิวเราก็ไม่กิน กินไม่ตรงเวลา จึงทำให้เป็นโรคกระเพาะในเวลาต่อมา
เมื่อมีลมแน่นอยู่ในช่องท้อง ลมหรือพลังงานที่แน่นอยู่ทำให้กระเพาะมีขนาดเล็กกว่าปกติ เมื่อน้ำย่อยหลั่งลงมาในกระเพาะ ระดับของน้ำย่อยจึงสูงกว่าปกติในระดับหนึ่ง มีผลให้ความเป็นกรดของน้ำย่อย มีการระเหยขึ้นมาถึงบริเวณลำคอ เราจึงมีความรู้สึกว่าไม่ว่าเราจะยืน จะนั่ง จะนอนก็ตาม เมื่อเรอออกมาที่ลำคอจะมีกลิ่นเหม็นเปรี้ยวเหมือนน้ำย่อยไหลย้อนขึ้นลำคอ
เมื่อเรากดนวด แนวขาท่อนบนในท่านอนคว่ำ จะทำให้ลมในแนวเส้นไหลออกไปถึงปลายเท้า เมื่อลมในแนวขามีความดันลมหรือพลังงานน้อยลง ลมหรือพลังงานที่แน่นอยู่ในช่องท้องก็จะแพร่ ไหลลงมาตามแนวเส้นผ่านออกมาทางขา วิ่งออกปลายนิ้วเท้า
เมื่อลมในช่องท้องคลายตัวลง อาการลมแน่นท้องก็คลายตัวลง กระเพาะอาหารก็กลับมาหดและขยายตัวได้เป็นปกติ เมื่อนั้นอาการกรดไหลย้อนก็หายไปเอง

พลังงานที่มากระแทกร่างกายแล้วไปไหน ( ตอน 7.5 )

พลังงานที่มากระแทกร่างกายแล้วไปไหน ( ตอน 7.5 )

หมอนรองกระดูกเคลื่อนทับเส้นประสาทขา
เพียงแค่เราทำให้ลมไหลเวียนได้ ไหลเวียนออกนอกร่างกายตามทวารต่างๆ ตามข้อต่างๆ ตามรูขุมขนต่างๆทั่วร่างกาย พลังงานที่อัดแน่นอยู่ภายในก็จะคลายตัวออกมาเอง
1. พลังงานที่แทรกสะท้านเข้ามาทางศีรษะ ( กระหม่อม )
2. พลังงานที่แทรกสะท้านเข้ามาทางแขน ( ฝ่ามือ นิ้วมือ )
3. พลังงานที่แทรกสะท้านเข้ามาเนื่องจากอุบัติเหตุ ศีรษะโดนถูกกระแทก ชนกระชากตามท่อนแขน
ทุกๆการกระทำ เมื่อเราถูกชน ถูกกระแทกทางศีรษะหรือแขน พลังงานก็จะวิ่งเข้ามาตามแนวเส้น ชนที่ศีรษะพลังงานที่เข้ามาก็จะมาสิ้นสุดบริเวณแนวบ่า ถ้ามีการกระทำที่แขนพลังงานที่เข้ามาจะสิ้นสุดอยู่ที่บ่าและบริเวณสะบัก ทั้งนี้เนื่องจากบ่าและรักแร้ สะบักเป็นแนวของร่างกายที่เชื่อมต่อกับระยาง แขน และศีรษะ
พลังงานที่เข้ามาทางด้านบนของร่างกายจะมารวมกันอยู่บริเวณแนวบ่า สะบัก แต่ถ้าเราไม่บำบัด อาการขัดของลมนี้ ต่อไปที่แนวบ่า พลังงานก็จะค่อยๆเคลื่อนลงมาตามแนวเส้น จากสะบัก ไหลลงมาตามแนวหลังใต้แนวสะบัก
ถ้าเราปล่อยให้อาการขัดนี้ยังเกิดขึ้นต่อเนื่อง พลังงานก็จะค่อยๆเคลื่อนไปตามแนวเส้น ตัดขวางเข้าเอว ( หมอนรองกระดูกเอว ข้อที่3-4-5 ) เราจึงมีอาการปวดเอว ที่เรียกอาการนี้ว่า หมอนรองกระดูกเคลื่อนทับเส้นประสาทขา
ถ้าเราปล่อยให้อาการลมขัดนี้ยังเกิดขึ้นต่อเนื่อง พลังงานก็จะค่อยๆเคลื่อนไปตามแนวเส้น ผ่านลงมาที่เส้นข้างขาด้านใน ผ่านลงมาเส้นหน้าแข้งด้านใน ตาตุ่มในและฝ่าเท้าใต้แนวร่องนิ้วโป้ง-นิ้วชี้
อาการขัดในแนวเส้นที่ลงมาที่ขา ไม่ได้ส่งผลให้ร่างกายเราบาดเจ็บ ถ้าเราไม่กดนวดที่แนวเส้นข้างขาด้านใน ก็จะไม่ทราบถึงความตึงของแนวเส้น
ถ้าเราไม่ได้แก้ไขดึงพลังงานให้ออกนอกกาย พลังงานก็ไม่ได้หายไปไหน ก็คงสั่งสมเก็บไว้ในแนวเส้นนี้ต่อไป จนที่สุดลงไปถึงแนวตาตุ่มใน และฝ่าเท้าใต้แนวร่องนิ้วโป้ง-นิ้วชี้ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งรอบที่ลงมาจากด้านบนของร่างกาย สั่งสมพลังงานมาถึงด้านล่างของร่างกาย
หมอนรองกระดูกเคลื่อนทับเส้นประสาทขา เป็นอาการข้างเคียงของการที่พลังงานเคลื่อนตัวจากด้านบนของร่างกาย ลงมาถึงเอว แนวหมอนรองกระดูกเอวข้อที่3-4-5
ยิ่งกดทับนานมากเท่าใด ยิ่งนานวันขึ้น พลังงานที่สั่งสมที่เอวยิ่งมากขึ้น ลมที่กองอยู่ที่เอวก็มากขึ้น ไปเพิ่มความดันของลมที่อยู่ในแนวเอว ลมก็ไปกดทับหมอนรองกระดูก ทำให้หมอนรองกระดูกเคลื่อนออกจากแนวปกติมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งมากขึ้น เส้นประสาทขาก็ยิ่งโดนกดทับแรงขึ้น ผลที่เกิดขึ้นคือ มีอาการปวด ชา ปวดร้าว ตามแนวสะโพก ( สลักเพชร) ขาแนวตาตุ่มนอก ชาถึงนิ้วก้อยเท้า
จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมคนที่มีอาการนี้เรื้อรัง จึงไม่สามารถยกของหนักได้ บางครั้งยกขันน้ำแค่ขันเดียวก็มีอาการปวดร้าวลงมาที่นิ้วก้อยเท้าแล้ว
บางคนตึงหลังจนเอี้ยว บิดตัวตัวไม่ได้
บางคนปวดหลัง-ปวดเอว-ขัดที่สลักเพชร
อาการที่เกิดตั้งแต่แนวหมอนรองกระดูกเอวลงมา เป็นอาการที่เส้นประสาทขาโดนกดทับ เพียงแค่เราทำให้การไหลเวียนของลมตามเส้น เส้นข้างขาด้านในและเส้นหน้าแข้งด้านใน ให้ลมไหลเวียนไหลออกแค่ข้อหัวเข่า ให้ลมร้อนวิ่งผ่านออกตรงหัวเข่าไปให้ได้ ลมที่ออกที่เข่าได้ก็จะพาพลังงานที่สั่งสมอยู่ออกนอกกายไปด้วย ลมที่กองอยู่เต็มบริเวณหมอนรองกระดูกเอว ก็จะค่อยๆลดความหนาแน่นลง ความดันของลม ณ.บริเวณนั้นลดลงมา แรงที่ไปดันให้หมอนรองกระดูกเอวเคลื่อนตัวก็น้อยลง ส่งผลให้อาการกดทับเส้นประสาทขาก็น้อยลงตามกัน อาการปวดร้าวที่ขาก็ค่อยๆทุเลาลงมา
ถ้าเราทำให้การไหลเวียนของลมตามเส้น เส้นข้างขาด้านในและเส้นหน้าแข้งด้านใน ให้ลมไหลเวียนไหลร้อนออกไปตรงหัวเข่า ข้อเท้า และนิ้วเท้า อาการปวดหลัง เอว ก็ยิ่งเบาลง อาการกดทับเส้นประสาทขาก็เบาลงไปอีก อาการสะโพก ขา ปวดน้อยลงไป
ถ้าเราทำให้การไหลเวียนของลมตามเส้น เส้นข้างขาด้านในและเส้นหน้าแข้งด้านใน ให้ลมไหลเวียนไหลร้อนออกไปตรงหัวเข่า ข้อเท้า และนิ้วเท้า และไล่ต่อไปจนลมร้อนวิ่งออกปลายนิ้วเท้าและลมร้อนวิ่งขึ้นสะโพก เอว อาการหมอนรองกระดูกเคลื่อนทับเส้นประสาทขาที่เรื้อรังก็จะค่อยๆคลายตัวออก อาการปวดเอว สะโพก ปวดร้าวขา ก็จะค่อยๆทุเลา และหายไปเอง
และอาการที่สลักเพชร ก็จะหายได้โดยไม่ต้องไปกดนวดที่สลักเพชร เนื่องจากเป็นแนวที่เส้นประสาทขาโดนกดทับ ถ้าทำให้เส้นประสาทขาไม่โดนกดทับ อาการที่สลักเพชรก็หายไปเอง