วันพฤหัสบดีที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

แขนยกไม่ขึ้น

แขนยกไม่ขึ้น

        3-4ปีผ่านมาแล้ว เพื่อนที่เคยเรียนหนังสือด้วยกันมา ปรึกษาในอาการที่เขาเป็นอยู่ เขาเป็นเจ้าของธุรกิจ กิจกรรมหนึ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือการตีกอล์ฟ ในขณะนั้นอาการป่วยหลักๆของเขาคือ ปวดที่แขนซ้าย ยกแขนข้างซ้ายไม่ขึ้น มีอาการปวดหลัง ปวดเอว อาการเหมือนหลังจะขาด ไปรักษาทั้งทางแผนปัจจุบัน และในแพทย์ทางเลือกอื่นๆ อาการที่เป็นอยู่ก็ไม่ดีขึ้น
        จนเมื่อได้ไปนวดไล่ลม ดึงลมที่ขัดอยู่ในแนวเส้นข้างขาด้านใน ให้ไหลเวียนออกนอกกาย ในครั้งนั้น ได้ไปนวดบำบัดอาการประมาณ10กว่าครั้งอาการจึงดีขึ้น จนอาการยกแขนไม่ขึ้นที่เกิดขึ้นในครั้งนั้นหายไป เพื่อนก็หายไปด้วย ไม่ได้นวดอีกเลยเป็นเวลาเกือบปี
       จนกระทั่งเมื่อ2เดือนที่ผ่านมา ก็เริ่มมีปัญหาแขนข้างซ้าย แขนเริ่มมีอาการล้า แขนชา ตึงยกไม่ขึ้นอีก จึงได้นัดให้ไปนวดบำบัดอีก อีกข้อมูลหนึ่งซึ่งเพื่อนได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า เมื่อตอนวัยรุ่นชอบการชกมวย เวลาซ้อมชกมวย จะใช้ต้นแขนซ้ายเป็นการ์ด โดยเฉพาะแขนท่อนบน บริเวณแนวข้อศอก อันเป็นที่มาของอาการยกแขนไม่ขึ้นในครั้งนี้
        ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น จากการที่เคยนวดบำบัดให้ลมในกายไหลเวียนออกนอกกายได้ โดยเฉพาะการกดนวดไล่ลมในแนวเส้นข้างขาด้านใน แนวบ่า แนวแขนในครั้งก่อนนั้น เป็นการบำบัดอาการขัดของลมที่เริ่มเกิดขึ้นใหม่ๆจากการไปตีกอล์ฟ  เป็นพลังงานที่เข้ามาที่แขนในห้วงเวลานั้น สั่งสมเก็บอยู่ด้านบนสุดใต้ผิวหนัง
      เราแก้อาการขัดของลมในขณะนั้นเป็นอาการที่พลังงานสะเทือนเข้ามาทางแขน จากการเหวี่ยงตีไม้กอล์ฟ พลังงานที่เข้ามาในขณะนั้นก็มาสั่งสมอยู่บริเวณโคนแขน แนวรักแร้ สะบัก แนวบ่า แนวร่องบ่ากับสะบัก การนวดบำบัดครั้งนั้นทำให้อาการเมื่อย ปวด ยกแขนไม่ขึ้น ปวดหลัง ปวดเอว ปวดหลังเหมือนหลังจะขาด อาการต่างๆก็ได้หายไปประมาณ1ปี  ใช้ชีวิตได้เป็นปกติโดยไม่ได้มีความจำเป็นต้องนวดต่ออีก จนกระทั่งอาการที่เคยบาดเจ็บจากการซ้อมต่อยมวย เมื่อสมัยวัยรุ่นประมาณ20ปีก่อนนั้นได้กำเริบขึ้นมา จากการที่เขาเคยใช้ท่อนแขนเป็นการ์ดรับหมัด พลังงานที่กระแทกเข้ามาก็พุ่งเข้าใส่บริเวณแขนท่อนบน ในขณะที่ซ้อมมวยอยู่นั้นเขาไม่เคยบำบัดโดยการคลายให้ลมไหลออกนอกกายเลย พลังงานจึงได้แต่เก็บสั่งสมเอาไว้
         จนระยะหลัง เมื่อเริ่มมีการนวดไล่ลมตั้งแต่เมื่อ2-3ปีที่แล้ว พลังงานที่สั่งสมอยู่ ก็ทยอยคลายตัวออกมา เริ่มจากอาการจากการตีกอล์ฟ และล่าสุดคืออาการยกแขนไม่ขึ้นอันเนื่องมาจากการใช้ท่อนแขน ตั้งการ์ดชกมวย

วันจันทร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

บำบัดสะโพก สลักเพชร โดยไม่ต้องกดนวด

บำบัดสะโพก สลักเพชร โดยไม่ต้องกดนวด

            การกดนวดไล่ลม เพื่อให้ลมในกายไหลออกนอกกายได้ แนวท่าหลักๆก็คือแนวการนวดที่เคยได้เรียนรู้มา คือแนวนอนคว่ำ นอนหงาย นอนตะแคง ท่านั่ง และนวดบนศรีษะ การนวดทั้ง5ท่านี้ ทุกๆท่าทำให้ลมไหลออกนอกกายได้ เพียงแต่การนวดท่านอนคว่ำ และนอนตะแคง เราสามารถพลิกแพลงใช้เข่าหรือเท้า แทนการนวดโดยใช้มือ หรืออุ้งมือที่ให้น้ำหนักการนวดที่น้อยกว่า พลังที่ใช้ในการทะลุทะลวงจึงมีมากกว่า การนวดไล่ลมจึงเน้นเริ่มต้นที่การนวดท่านอนคว่ำและท่านอนตะแคงก่อน สำหรับท่านวดท่านอนตะแคง เส้นที่เน้นนวดคือเส้นข้างขาด้านใน เส้นหน้าแข้งด้านใน ประตูลมบริเวณตาตุ่มใน แนวร่องนิ้วโป้งและนิ้วชี้บริเวณฝ่าเท้า
      ทำไมต้องกดนวดที่ขาก่อน
    การที่เราเริ่มกดนวดด้วยท่านอนตะแคง บริเวณข้างขาท่อนบนก่อน เพื่อกระทุ้งเปิดทางเดินของลมในเส้นนี้ ให้ลมไหลเวียนออกนอกกาย ออกที่หัวเข่า ออกที่ตาตุ่ม ออกที่กระดูกเท้า ออกที่ข้อนิ้วเท้า และวิ่งร้อนออกปลายสุดของเท้าคือนิ้วเท้า
    เมื่อเราดีงลมที่ขัดอยู่ในเส้นข้างขาด้านในออกไปที่ข้อเข่า ตาตุ่ม จนที่สุดร้อนไปออกที่ปลายเท้า จะทำให้ความหนาแน่นของลมที่ขัดบริเวณนั้นลดลง คือความดันของลมที่ไปกดทับ บีบกล้ามเนื้ออวัยวะแนวนี้ก็ลดลง
     ทำให้ลมที่อยู่เหนือแนวเส้นนี้ตั้งแต่บริเวณขาหนีบ  แนวเอว ( กระดูกสันหลังช่วงเอว ข้อที่3-4-5 ) แนวเอวตัดขวาง แนวหลังใต้แนวสะบัก แนวร่องสะบักกับกระดูกสันหลัง สะบัก แนวแขนท่อนบน แนวแขนท่อนล่าง ข้อมือ มือ นิ้วมือ แนวบ่า แนวต้นคอ ในศรีษะ แนวต่างๆนี้เป็นแนวเส้นที่อยู่ส่วนบนของร่างกาย เมื่อลมไหลออกได้ที่ขา ความหนาแน่นของลมที่ขาน้อยลง ความดันของลมที่อยู่ในแนวเส้นลดลงมาอย่างรวดเร็ว จึงทำให้ลมที่ขัดอยู่เหนือจุดที่กดนวด คือตั้งแต่แนวขาหนีบขึ้นไป แนวเอว ไล่ขึ้นไปจนถึงแนวศรีษะ ลมในแนวนี้จะแพร่ ไหลลงไปตามแนวด้านล่างแนวที่กดนวด ทำให้ลมที่อยู่ด้านบน เหนือจุดที่กดนวดมีการเคลื่อนไหลลงมาตามแนวเส้นนี้ เมื่อลมไหลลงมาถึงจุดที่กดนวด ลมที่ร้อนออกด้านล่าง ปลายเท้า มีแรงเฉื่อยดึงลมที่แพร่ไหลลงมาจากแนวด้านบน ให้ไหลออกไปนอกกายได้
       เมื่อเป็นเช่นนี้ ในขณะที่เรากดนวดแนวเส้นข้างขาด้านในนี้ ลมที่วิ่งร้อนออกปลายเท้า ก็จะลากลมที่ขัดอยู่บริเวณกระดูกสันหลัง เอว ข้อที่ 3- 4- 5 เบาลงมา โดยที่เรายังไม่ได้กดนวดแนวด้านบนเลย
      เมื่อลมวิ่งร้อนออกปลายเท้า ลมที่ขัดบริเวณกระดูกสันหลัง เอว ข้อที่ 3- 4- 5 ก็ลดลง ส่งผลให้ความดันลมที่ขัดบริเวณนี้ลดลงมาด้วย เมื่อลมหรือความดันลมที่ไปกดทับหมอนรองกระดูกลดลงมา หมอนรองกระดูกที่เคยเคลื่อนไปกดทับเส้นประสาทขา ก็จะถอยกลับเข้าที่
    อาการหมอนรองกระดูกเคลื่อนทับเส้นประสาทขา ก็จะค่อยๆ ทุเลา เบาลง และหายได้ในที่สุด ดังนั้น แนวเส้นประสาทขาที่โดนหมอนรองกระดูกเคลื่อนไปกดทับ อาการแปลบ ปวด ช็อต ตามแนวเส้นประสาทที่เราเคยมีอาการอยู่ ก็จะหายไปเองโดยอัตโนมัติ
    แค่ลมในแนวเส้นข้างขาด้านในนี้เคลื่อนไหลร้อนออกไปที่ปลายเท้าได้ อาการขัดที่สะโพก สลักเพชร ก็เบาลงไปกว่า 50 %แล้ว
       แล้วถ้าลมในแนวเส้นข้างขาด้านในนี้เคลื่อนไหลร้อนออกไปที่ปลายเท้า และในขณะเดียวกันลมร้อนก็ไหลขึ้นด้านบนของร่างกาย ตามแนวผ่านจุดที่กดนวด วิ่งร้อนไปถึงแนวกระดูกสันหลังเอว ข้อ ที่ 3-4-5  อาการขัดที่สะโพก สลักเพชร ก็เบาลงไปกว่า 100 % โดยที่ราไม่ต้องไปกดนวดที่สลักเพชร
       ทั้งนี้เพราะ หมอนรองกระดูก ไม่เคลื่อนไปกดทับเส้นประสาทขา  อาการที่เส้นประสาทขาโดนกดทับ เคยทำให้เราปวด แปลบ ชา ร้าวลงมาที่สะโพก สลักเพชร แนวข้อพับเข่าด้านนอก แนวหลังตะตุ่มนอก แนวสันเท้า  ตลอดจนไปถึงแนวนิ้วก้อยเท้า อาการนี้จะทุเลา แล้วหายไปเอง

ลองอ่านดูเรื่องนวดครับ ส่งต่อได้ครับ
www.amazingthaimassage.blogspot.com

เบอร์โทร
Dtac 086-775-7333.
True H 083-046-7409

Line ID
  thiti.d.com
  หรือเบอร์โทร 0867757333

FaceBook ----  Thiti
 Suppachokkarnkul     /  ธิติ ศุภโชติการกุล

FaceBook Page  นวดไล่ลม

FaceBook Group  นวดไล่ลม

ธิติ ศุภโชติการกุล 81/494. มบ.วิเศษสุขนคร ซ8 ถ.ประชาอุทิศ ซ79 แขวง-เขตทุ่งครุ กท 10140

วันอังคารที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

8. ทำไมรักษาอาการเจ็บป่วย นานเป็นปี

8. ทำไมรักษาอาการเจ็บป่วย นานเป็นปีก็ยังไม่หาย

           ในบ้านหลังหนึ่งๆ เมื่อสร้างบ้านเสร็จ ทุกๆห้องล้วนเป็นห้องว่างเปล่า ไม่มีสิ่งของอยู่ด้านใน เมื่อเราเอาสิ่งของต่างๆเข้ามาไว้ในบ้าน เราวางที่ไหน ที่ตรงนั้นก็ไม่เป็นที่ว่างเปล่าอีกต่อไป เราจะวางสิ่งของชิ้นอื่นๆซ้ำในตำแหน่งเดิมก็ไม่ได้แล้ว นอกจากจะวางเทินให้สูงขึ้นไปเรื่อยๆ วางสูงจนฐานที่ตั้งด้านล่างรับไม่ไหว สิ่งของที่วางเทินไว้ก็จะยุบ พังทลายลงมา
             ร่างกายเราก็เหมือนกัน เมื่อแรกที่เราเกิดมา ธาตุทั้งสี่ของร่างกายยังปกติอยู่ ( บางคนธาตุพิการมาแต่กำเนิดก็มี ) เมื่อเราอายุมากขึ้นสมดุลของธาตุต่างๆเริ่มเสียไป
   ธาตุดิน เริ่มมีปัญหาคือ กล้ามเนื้อแข็ง เกร็ง มีพังผืด เส้นโลหิตตีบ-ตัน  ฯลฯ ปวดแข้งปวดขา
   ธาตุน้ำ เริ่มมีปัญหา อาการโลหิตเป็นพิษ ไขมันในกระแสเลือดสูง น้ำเหลืองไม่ดี ฯลฯ
   ธาตุลม เริ่มมีปัญหา การไหลเวียนลมในกายเริ่มขัด ลมไม่สามารถไหลเวียนออกตามรูขุมขน
   ธาตุไฟ เริ่มมีปัญหา มีอาการร้อนๆหนาวๆ อาการปวดแสบปวดร้อน ฯลฯ
              ที่เรารักษาอาการป่วยไข้ในปัจจุบัน รวมทั้งการกดจุด การนวดเส้น การนวดแก้อาการ ส่วนใหญ่ก็จะเน้นแก้ไปที่ธาตุดินและธาตุน้ำ เพราะสัมผัสได้ เห็นได้ด้วยตา ตรวจวัดได้ด้วยเครื่องมือทางการแพทย์ปัจจุบัน
      ธาตุลม ธาตุไฟ เป็นธาตุที่มองไม่เห็น แต่สัมผัสได้ ผู้ป่วยหลายๆคนจะมีความรู้สึกว่า มีลมเคลื่อนอยู่ภายในร่างกาย ตามอวัยวะต่างๆ มีอาการลมแน่นภายในช่องท้อง มีอาการคันเหมือนมดเดินใต้ผิวหนัง มีอาการลมออกหู ลมออกช่องคลอด ผายลม เรอ หาว ไอ จาม อาการต่างๆนี้ เป็นอาการที่แสดงให้เห็นตัวตนของลมในกายเราว่า มีลมในกายเรา และถ้าลมในกายเราไหลออกนอกกายได้ เราก็จะมีความเบากายขึ้นมาเอง
      เมื่อลมในกายไหลเวียนไม่ดี  เราก็จะรู้สึกว่าเรามีความร้อน ร้อนผ่าวๆ ปวดแสบปวดร้อนอยู่ในตัวเรา จะทำให้เรารู้สึกว่าตัวเราร้อนกว่าอุณหภูมิร่างกายปกติ แต่เมื่อวัดด้วยปรอท เราไม่มีไข้

           เราต้องลองย้อนไปดู ว่าที่เรารักษาอาการต่างๆมานานนับปี เรื้อรัง เราเคยแก้ไขสมดุลของลมในกายหรือไม่ จากที่เคยกล่าวว่าถ้าเราสามารถบำบัดให้ลมไหลเข้า-ออกนอกกาย ตามรูขุมขน ตามข้อกระดูกต่างๆได้ ลมที่ไหลเข้ามาในกาย เข้ามาพร้อมกับพลังงาน ที่เกิดจากการกระแทกเข้ามาในอวัยวะต่างๆ พลังงานค่อยๆซึมซับ สั่งสม เก็บเข้ามาในร่างกายเรา ตามอวัยวะต่างๆ พลังงานที่เข้ามาไม่มีรูปร่าง ไม่มีสัณฐาน แต่มีมวลมีน้ำหนัก เมื่อสั่งสมพลังงานมากๆ นานจนร่างกายเรา ไม่สามารถจะรับพลังงานใหม่ๆเข้ามาได้อีก ทำให้เส้นตึงแขน-ขาตึง บวม
    พลังงานที่แน่นอยู่ในแนวเส้นนี้ ส่งผลให้ความยืดหยุ่นของแนวเส้นไม่มี เส้นบวม พองโต
     ระหว่างข้อกระดูกยึดกัน ไม่ยืดหยุ่น งอข้อลำบาก หลังตึง หลังค่อม นิ้วล็อก ขาโกร่งงอ เมื่อพลังงานสั่งสมในแนวเส้นมากขึ้น จะทำให้ข้อกระดูก ท่อนกระดูก บิดเบี้ยว เสียรูป เสียสภาพไป เมื่อกระดูกเสียสภาพไปแล้วเราไม่สามารถ แก้ไขให้เนื้อกระดูกกลับมามีสภาพดังเดิม ข้อกระดูกสันหลังที่โดนบดจนแตก ยุบ หรือขาที่โกร่งงอไปแล้ว ก็จะเสียสภาพไปเลย
    ในกรณีที่กระดูกเสียสภาพไปแล้ว การปรับสมดุลให้ลมไหลเวียนเข้า-ออกนอกกายได้เป็นปกติ ก็จะเป็นเพียงการแก้ไข หยุดไม่ให้กระดูกเสียสภาพมากขึ้นกว่าเดิม กระดูกที่โกร่งงอแล้วก็จะโกร่งงอเหมือนเดิม ไม่ตึงไม่งอมากกว่าเดิมเท่านั้นเอง
     ร่างกายเรา เมื่อบาดเจ็บเราไม่ได้แก้ไขให้ลมไหลเวียนเข้า-ออกนอกกายได้ตามปกติ พลังงานที่เข้ามาสั่งสมในกายเรา ตามอวัยวะที่พลังงานเข้ามา ก็แน่นขึ้นเรื่อยๆ ความตึงในแนวเส้นก็จะทำให้สัณฐาน รูปร่างของกระดูกเสียสภาพไป ยิ่งนานเท่าใดก็ยิ่งเสียสภาพมากขึ้นเท่านั้น
    เปรียบเหมือนห้องเก็บของ เรามีแต่เอาของเข้าไปเก็บ ถ้าเราเก็บเข้าอย่างเดียว ไม่เคยเอาสิ่งของที่เราเอาเข้าไปออกมาเลย สักวันหนึ่งห้องนั้นก็จะเต็ม ไม่สามารถใส่ของใหม่เข้าไปได้อีก ขึ้นอยู่กับว่าเราทยอยเก็บเข้าไปทีละนิด  หรือว่าเก็บเข้าไปครั้งละมากๆ และขึ้นอยู่กับว่าเก็บเข้าไปนานเท่าไร สักวันหนึ่งก็ต้องเต็ม

    แล้วนิ้วล็อค เกิดจากอะไร  ?

วันศุกร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

พลังงานที่มากระแทกร่างกายแล้วไปไหน ( ตอน 7.12.4 )

พลังงานที่มากระแทกร่างกายแล้วไปไหน ( ตอน 7.12.4 )

คุณเคยไหม ลื่นล้ม ก้นจ้ำเบ้า
     ทุกย่างก้าวของการเดิน ทุกๆครั้งของการกระโดด และทุกๆครั้งที่ก้นของคุณกระแทกพื้น ..... จะมีพลังงานสะเทือนเข้ามาในร่างกายตามแนวเส้น แนวเส้นหลัง ตามแนวกระดูกสันหลัง ....
      การลื่นล้ม ก้นกระแทก เป็นการสะเทือนเข้ามาของพลังงานที่ไม่อยู่ในสภาวะปกติ การกระแทกทำให้เราบาดเจ็บทันที เกิดอาการลมขัดในแนวเส้นหลัง
      เจ็บที่ก้นกบที่โดนกระแทก ก็คือการเจ็บที่กล้ามเนื้อที่โดนกระแทก ก็คือธาตุดิน ธาตุน้ำที่โดนกระทบ
      ส่วนพลังงานที่สะเทือนเข้าไปจากก้นกบ  ผ่านไปเอว  ตามแนวกระดูกสันหลัง ต้นคอ ศรีษะ   พลังงานที่เข้าไปนี้ ไหลไปกับลมที่เคลื่อนอยู่ในกาย ตามแนวเส้น เมื่อพลังงานที่กระแทกเข้าไปหยุดตรงไหน ก็จะทำให้การไหลเวียนของลมบริเวณนั้นหยุด เกิดอาการขัดขึ้นมา  ลมไหลเวียนผ่านจุดนี้ไม่ได้ พลังงานที่เข้ามาก็จะฝังตัวเก็บอยู่ในแนวเส้น พลังงานไม่มีรูปร่าง ไม่มีปริมาตร แต่มีมวลน้ำหนัก ถ้าเราไม่ได้แก้ไขให้การไหลเวียนของลมในแนวนี้ ให้กลับมาไหลเวียนได้เป็นปกติ ร่างกายยังคงสั่งสมพลังงานนี้ไว้ ต่อให้เรารักษาอาการบวม ปวดในบริเวณแนวสันหลังนี้ให้หายไป แต่อาการขัดของลม หรือพลังงานที่ออกไปไม่ได้ก็จะฝังเก็บอยู่กับเราตลอดไป
      เมื่อใดที่เรามีการนวด กดลงบนแนวเส้นหลังติดกระดูก ถ้าเรากดนวดลงบนตำแหน่งที่ลมหรือพลังงานขัดอยู่ เราจะมีอาการปวดมาก แต่ตำแหน่งอื่นๆในแนวกระดูกสันหลังจะไม่ปวด จะเบาสบาย
      ถ้าเราไม่บำบัดให้ลมไหลเวียนออกนอกกาย ปล่อยให้อาการเรื้อรัง จะมีอาการปวดขัดตรงแนวก้นกบ กระเบนเหน็บ ปวดหลังปวดเอว ลมแน่นท้อง กรดไหลย้อน  แน่นจุกเสียดลิ้นปี่ หลังค่อม กลืนน้ำลายลำบาก หายใจยาก ปวดมึนท้ายทอย มึนหน้าผาก
        นวดไล่ลม เพื่อทำให้ลมในกายไหลเวียนออกนอกกายได้ จะทำให้พลังงานที่สะเทือนเข้ามาในกายเราตามแนวเส้น ไหลออกนอกร่างกายตามข้อ ตามรูขุมขนต่างๆในร่างกาย
     
            การบาดเจ็บในลักษณะที่กล่าวมานี้ เป็นอาการที่เกิดขึ้นตามแนวเส้นหลัง เป็นพลังงานที่สะเทือนเข้ามาบริเวณก้น ก้นกบ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแนวเส้นหลังติดกระดูกสันหลัง ที่เริ่มต้นมาตั้งแต่ฝ่าเท้า ส้นเท้า กลางปลีน่อง ขาท่อนบน ก้นกบ กระเบนเหน็บ แนวเอว  แนวเส้นข้างกระดูกสันหลัง แนวร่องบ่า –สะบัก แนวต้นคอ บนศีรษะ 

     ดังนั้น การบำบัดเราจึงเน้นนวดที่ท่านอนคว่ำ

พลังงานที่มากระแทกร่างกายแล้วไปไหน ( ตอน 7.12.2 )

พลังงานที่มากระแทกร่างกายแล้วไปไหน ( ตอน 7.12.2 )

นั่งทำงาน นั่งขับรถนานๆ
      ..... จนมีอาการชาลงขา ปวดขัดตรงแนวก้นกบ กระเบนเหน็บ ปวดหลังปวดเอว ลมแน่นท้อง กรดไหลย้อน แน่นจุกเสียดลิ้นปี่ กลืนน้ำลายลำบาก หายใจยาก ปวดมึนท้ายทอย มึนหน้าผาก
       การสั่งสมพลังงานที่มาจากแนวหลังติดกระดูก ( แนวนอนคว่ำ )  แนวนี้จากล่างขึ้นบน เริ่มต้นตั้งแต่ ฝ่าเท้า ส้นเท้า เอ็นร้อยหวาย ปลีน่อง ขาท่อนบน แก้มก้น ก้นกบ กระเบนเหน็บ แนวเอว แนวเส้นข้างกระดูกสันหลัง แนวร่องบ่า –สะบัก แนวต้นคอ บนศีรษะ
        สำหรับอาการที่เรานั่งมาก นั่งขับรถนานๆ ก็เป็นอาการ ที่เกิดจากการสั่งสมพลังงานที่มาจากแนวหลังติดกระดูก แต่กรณีนี้ เริ่มต้นตั้งแต่ ขาท่อนบน ตรงขึ้นไปแก้มก้น ก้นกบ กระเบนเหน็บ แนวเอว ค่อยๆตึงขึ้นไปแนวเส้นข้างกระดูกสันหลัง แนวร่องบ่า –สะบัก แนวต้นคอ บนศีรษะ
    เหตุแห่งอาการเกิดจากการที่เรานั่ง น้ำหนักตัวเรากดทับลงมาที่ต้นขาท่อนบน แก้มก้น ก้นกบ กระเบนเหน็บ เมื่อมีน้ำหนักกดทับลงมา ก็จะมีพลังงานสะท้อนกลับมาในกายเรา ตามแนวเส้นหลัง ค่อยๆสะสมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นวัน เป็นเดือน เป็นปี พลังงานค่อยๆสั่งสมเพิ่มขึ้นไปด้านบนของแนวเส้น
     เป็นอาการร่วมกันกับการที่เรายืนมาก เดินมาก ต่างกันตรงจุดเริ่มต้นเท่านั้น แต่ปลายทางเหมือนกันคือขึ้นไปถึงศีรษะ
      จากการที่ขาท่อนบนโดนกดทับ การไหลเวียนของเลือดและลม ที่จะไหลลงไปที่ปลายเท้าก็โดนกระทบไปด้วย ทำให้เกิดการอาการตะคริวขึ้นที่น่อง ชาที่เท้า ฝ่าเท้า

              การบำบัดอาการนี้ เน้นที่ท่านอนคว่ำ

พลังงานที่มากระแทกร่างกายแล้วไปไหน ( ตอน 7.12.3 )

พลังงานที่มากระแทกร่างกายแล้วไปไหน ( ตอน 7.12.3 )

ถ้าคุณเคยกระโดดลงมาจากที่สูง เมื่อฝ่าเท้าถึงพื้น .... 
       การกระโดดลงมาจากที่สูง เช่น กระโดดลงมาจากระเบียงบ้าน กำแพงบ้าน กระโดดลงมาจากต้นไม้ ทุกๆครั้งที่ฝ่าเท้าแตะพื้น จะมีพลังงานสะเทือนเข้ามาจากฝ่าเท้า ยิ่งกระโดดจากที่สูงมากเท่าใด พลังงานที่สะเทือนเข้ามาก็จะเข้ามามากขึ้นเป็นเงาตามตัว เช่นกระโดดจากที่สูง 2เมตร พลังงานสะเทือนขึ้นมาจากฝ่าเท้า อาจจะสูงแค่ข้อหัวเข่า  ถ้าเรากระโดดจากที่สูง 4เมตร  พลังงานสะเทือนขึ้นมาจากฝ่าเท้า อาจจะสูงแค่ก้นกบหรือแนวกระเบนเหน็บ  แต่ถ้าเรากระโดดจากที่สูง ประมาณ 6เมตร  พลังงานก็สะเทือนขึ้นมาจากฝ่าเท้า อาจจะสูงถึงกลางหลัง หรือศรีษะ
          ทุกๆการก้าวเดิน ทุกๆก้าวที่เราวิ่ง ทุกๆการกระโดด เมื่อฝ่าเท้าลงมาสัมผัสกับพื้น จะมีพลังงานสะเทือนเข้ามาในกาย ขึ้นมาจากฝ่าเท้า ส้นเท้า เอ็นร้อยหวาย กลางปลีน่อง ขาท่อนบน กระเบนเหน็บ เอว  แนวเส้นติดกระดูกสันหลัง แนวบ่า ต้นคอ ท้ายทอย ศีรษะ
        พลังงานที่สะเทือนเข้ามานั้นจะเคลื่อนไปตามแนวเส้น ( การนวดเส้น คือการนวดเส้นที่มีเลือดและลมเล่นอยู่ ) พลังงานเคลื่อนเข้ามากับลมที่ไหลเวียนในกาย ถ้าสะเทือนเข้ามามาก ทิศทางของพลังงานที่เข้ามาก็จะสูงมากขึ้น จากฝ่าเท้า ไปจนถึงศรีษะ อาการบาดเจ็บจากพลังงานที่เข้ามา สุดตรงไหน พลังงานก็จะฝังตัวอยู่ตรงนั้น แต่เราไม่เห็นพลังงานนั้น เครื่องมือต่างๆก็ไม่สามารถตรวจวัดได้
       จะมีแต่อาการบาดเจ็บที่เรารับรู้ได้ในขณะที่เรากระโดดลงมาแล้ว มีอาการปวด บวม ขยับไม่ได้ รักษาอาการบาดเจ็บนั้นๆเป็นแรมเดือน เมื่อกล้ามเนื้อที่อักเสบจากการที่กระแทกหายอักเสบ อาการบวมต่างๆยุบลง การเดินการขยับเริ่มกลับมาเป็นปกติ แต่พลังงานที่สะเทือนเข้ามายังไม่ได้คลายออกไป
     เวลาผ่านไป 10ปี 20ปี 30ปี ถ้าเรายังไม่คลายพลังงานนี้ออกมา จะทำให้เกิดอาการตามแนวเส้นนี้ ทำให้มีอาการตั้งแต่ ฝ่าเท้าชา รองช้ำ ตะคริวขึ้นที่น่อง ขาไม่มีแรง เส้นเลือดขอด  ปวดเอว ปวดหลัง ลมแน่นท้อง กรดไหลย้อน  แน่นจุกเสียดลิ้นปี่ กลืนน้ำลายลำบาก หายใจยาก ปวดมึนท้ายทอย มึนหน้าผาก

              การบำบัดอาการนี้ จะเน้นที่ท่านอนคว่ำ ( เส้นหลัง )

ธิติ ศุภโชติการกุล
81/494.มบ.วิเศษสุขนคร ซ8 ถ.ประชาอุทิศ ซ79
 แขวง-เขตทุ่งครุ กท 10140

Dtac 086-775-7333. True H 083-046-7409

Line ID thiti.d.com   หรือเบอร์โทร 0867757333

FaceBook ---- Thiti Suppachokkarnkul

วันพฤหัสบดีที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

พลังงานที่มากระแทกร่างกายแล้วไปไหน ( ตอน 7.12.1 )

พลังงานที่มากระแทกร่างกายแล้วไปไหน ( ตอน 7.12.1 )

    คุณเคยยืนนานๆ  เดินนานๆ....    จนมีอาการฝ่าเท้าชา รองช้ำ ตะคริวขึ้นที่น่อง ขาไม่มีแรง เส้นเลือดขอด ปวดเอว ปวดหลัง ลมแน่นท้อง แน่นจุกเสียดลิ้นปี่ กลืนน้ำลายลำบาก หายใจยาก ปวดมึนท้ายทอย มึนหน้าผาก
 
            ถ้าคุณเคยบาดเจ็บในลักษณะที่กล่าวมานี้ อาการที่ระบุมานี้เป็นอาการโดยรวม เป็นอาการที่เกิดขึ้นตามแนวเส้นหลัง  ( นวดท่านอนคว่ำ ) เริ่มต้นมาตั้งแต่ฝ่าเท้า ส้นเท้า กลางปลีน่อง ขาท่อนบน ก้นกบ กระเบนเหน็บ แนวเอว  แนวเส้นข้างกระดูกสันหลัง แนวร่องบ่า –สะบัก แนวต้นคอ บนศีรษะ
      เป็นอาการที่เริ่มต้นจากส่วนล่างของร่างกาย ค่อยๆสั่งสมพลังงานเข้ามาทีละนิด ทุกๆการรับรู้ที่มาจากด้านล่าง ทุกๆการก้าวเดินจะมีพลังงานที่สะเทือนเข้ามาในกาย
       ทุกๆครั้งที่เรายืนเมื่อน้ำหนักตัวเรากดลงที่ส้นเท้า ฝ่าเท้าตามแรงดึงดูดของโลก จะมีพลังงานซึมซับเข้ามาในกายเรา ทีละนิด ยิ่งนานมากเท่าไร พลังงานก็จะซึมซับเข้ามามากขึ้น
         เมื่อพลังงานซึมซับเข้ามาในกาย จะเคลื่อนไหลไปตามแนวเส้น ( การนวดเส้น      คือการนวดเส้นที่มีเลือดและลมแล่นอยู่ ) พลังงานจะเคลื่อนไหลไปตามลมที่เคลื่อนไปมาในร่างกาย ค่อยๆสั่งสมตั้งแต่ฝ่าเท้าขึ้นมา ส้นเท้า กลางปลีน่อง ขาท่อนบน ก้นกบ กระเบนเหน็บ แนวเอว  แนวเส้นข้างกระดูกสันหลัง แนวร่องบ่า –สะบัก แนวต้นคอ จนสุดท้ายคือศีรษะ จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี เป็น20 ปี 30ปี ทุกๆการก้าวเดิน การยืน มีพลังงานเข้ามาร่างกายเราตลอด
         เราได้เคยนำพาพลังงานที่ซึมซับเข้ามาในกายเรา ให้เคลื่อนไหลออกจากร่างกายเราหรือไม่ การที่เราไม่เคยนำพาพลังงานนี้ให้เคลื่อนออกไปจากกายเรา เปรียบเสมือนกับลูกโปร่ง ที่เราเป่าจนขนาดลูกโปร่งค่อยๆโตขึ้น ยิ่งโตมากเท่าไร ความดันภายในลูกโปร่งก็มากขึ้นเป็นเงาตามตัว เช่นเดียวกัน
      พลังงานที่สั่งสมเข้าไปในร่างกายตามแนวเส้น เมื่อเข้าแล้วออกนอกกายไม่ได้ ซึมซับเข้าไปมากๆ  จะเริ่มมีอาการชาเริ่มจากฝ่าเท้า อาการปวดส้นเท้า หรือรองช้ำ ตะคริวขึ้นที่น่อง เส้นเลือดขอด ปวดเอว อาการลมแน่นท้อง ( กรดไหลย้อน ) ปวดหลังแนวกระดูกสันหลัง ปวดเมื่อยต้นคอ ท้ายทอย มึนหน้าผาก
       อาการเหล่านี้จะค่อยเป็นค่อยไป ส่งผลในระยะยาว สั่งสมจากฝ่าเท้าขึ้นไปเรื่อยๆจนถึงศรีษะ ซ้ำแล้วซ้ำอีก เมื่อใดที่เรานำพาพลังงานที่สั่งสมอยู่นี้ ให้ไหลเวียนออกไปกับลม ตามทวาร ตามข้อต่างๆ ตามรูขุมขนทั่วร่างกายได้ เมื่อนั้นอาการต่างๆนี้ก็จะค่อยๆคลายตัว เบาขึ้นจากส่วนล่างคือส่วนของขา ส่วนของแขน และศรีษะตามลำดับ

         การบำบัดอาการนี้เราจะเน้นที่ท่านอนคว่ำเป็นหลัก