วันพฤหัสบดีที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2561

นวดไล่ลม คลายพลังงาน ( ตอนที่ 10.2 )

นวดไล่ลม คลายพลังงาน ( ตอนที่ 10.2 )
ลมไม่เคลื่อนออก พลังงานอื่นๆก็ออกไม่ได้

        รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งก็ชนะร้อยครั้ง การที่เราจะแก้ปัญหาอะไรสักอย่างหนึ่ง เราต้องรู้ถึงสาเหตุแห่งปัญหา และปัจจัยต่างๆที่ทำให้ปัญหานี้เกิดขึ้น แล้วถึงจะเข้าไปแก้ที่ต้นตอของปัญหานั้น     
      การบำบัดการกดนวดไล่ลม ผมได้เกริ่นมาตลอดว่า ทุกๆอิริยาบทของเรามีพลังงานจากภายนอกกระเทือน สะท้อนซึมซับเข้ามา แล้วสั่งสมอยู่ในร่างกาย ตามแนวเส้น กล้ามเนื้อ ช่องท้อง และช่องว่างต่างๆในร่างกาย
     พลังงานที่ซึมซับเข้ามานี้ ที่ผ่านมาการบำบัดของเรา เราลองคิดดูว่า เราได้เคยบำบัดทำให้พลังงานเหล่านี้คลายออกไปนอกร่างกายหรือไม่ แล้วถ้าเราไม่เคยนำพลังงานเหล่านี้ให้คลายออกนอกร่างกาย การเจ็บป่วยเรื้อรังของเราจะหายได้ไหม
       พลังงานที่ซึมซับและสั่งสมอยู่ในร่างกาย เป็นคำตอบของอาการตัวร้อนแต่ไม่มีไข้ เพราะพลังงานเหล่านี้เข้ามาในร่างกายเราแล้วไม่สามารถคลายออกนอกร่างกายได้  ธาตุลมในร่างกายเราเกิดการไหลเวียนออกนอกร่างกายได้ไม่ปกติ บางวันลมไหลเวียนออกตามรูขุมขนได้ ตัวเราก็เบา อาการร้อนภายในก็ดับลงไปเอง
       ในบางวันที่ลมไม่สามารถเคลื่อนไหลออกนอกกาย ไม่สามารถไหลออกตามรูขุมขน ตามทวารต่างๆ เช่น การหาว เรอ ไอ จาม ลมออกหู  การผายลม การขับถ่ายอุจจาระที่มีลมออกมาด้วย ลมออกที่ช่องคลอด การเดินหรือการเคลื่อนไหวร่างกายแล้วลมออกตามข้อกระดูก เมื่อลมเคลื่อนไหลออกไม่ได้พลังงานที่สั่งสมอยู่ก็ไม่สามารถเคลื่อนไหลออกไปด้วย วันนั้นทั้งวัน เราก็จะรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว มีอาการร้อนอยู่ภายใน ซึ่งอาการนี้ไม่ได้เป็นอาการร้อนใน จะกินยา กินสมุนไพรเช่นฟ้าทลายโจน น้ำใบย่านาง เพื่อลดอาการร้อนนั้น ก็ไม่สามารถดับอาการร้อนนั้นได้ เพราะอาการร้อนนั้นไม่ได้เกิดจากธาตุดิน ธาตุน้ำ ไม่ได้เกิดจากการที่กล้ามเนื้ออักเสบ ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อในกระแสเลือด ที่ปรอทวัดไข้จะสามารถสัมผัสและตรวจพบอุณหภูมิที่สูงขึ้นได้
       ปรอทวัดไข้ซึ่งเป็นธาตุดิน ธาตุน้ำ ไม่สามารถสัมผัสธาตุลม จึงไม่สามารถตรวจพบความร้อนที่เกิดขึ้นจากการขัดของลมในร่างกาย
        และที่สำคัญปรอทวัดไข้ก็ไม่สามารถตรวจวัดธาตุไฟ ซึ่งเป็นความร้อนที่เกิดจากพลังงานต่างๆที่ซึมซับเข้ามา สั่งสมอยู่ภายในร่างกาย พลังงานเหล่านี้ไม่สามารถเคลื่อนไหลออกนอกร่างกายได้ เนื่องจากธาตุลมในร่างกายไม่สามารถเคลื่อนออกตามรูขุมขน ตามทวารต่างๆ
         ดังนั้นเมื่อเรากดนวดไล่ลมทำให้ลมในร่างกาย สามารถเคลื่อนไหลออกนอกร่างกายเราได้ พลังงานที่สั่งสมอยู่ก็จะเคลื่อนไหลออกนอกร่างกายเราไปด้วย มีผลทำให้ความร้อนที่เกิดขึ้นอันเนื่องมาจากการสั่งสมพลังงานภายในร่างกายก็จะค่อยๆลดลง จนอาการร้อนนั้นหายไปในที่สุด
         
         เมื่อลมไหลออกนอกร่างกายได้ ลมก็จะนำพาพลังงานที่สั่งสมอยู่ในแนวเส้น อยู่ในช่อง ในโพรงต่างๆในร่างกายให้ไหลออกนอกร่างกายด้วย จึงทำให้อาการบางอย่างที่ไม่สามารถหาสาเหตุได้ และอาการเรื้อรังในร่างกายได้รับการบำบัดแก้ไขและหายไปในที่สุด
      ทั้งนี้เพราะลมในร่างกายและพลังงานที่สั่งสมอยู่ในร่างกาย  เมื่อเราสามารถเคลื่อนลมในร่างกายให้เคลื่อนไหลออกนอกร่างกายได้ จะเกิดการถ่ายเทพลังงาน การแพร่ของพลังงาน จากจุดที่มีความหนาแน่นมากกว่าไปยังที่ๆมีความหนาแน่นน้อยกว่า  คือบริเวณที่เรากระทุ้งเปิดรูขุมขนได้แล้ว แล้วเกิดแรงเฉื่อยเหนี่ยวนำพลังงานที่แพร่ลงมานี้ ให้ไหลออกที่รูขุมขน จึงทำให้อาการบวมแน่นในช่องท้อง กระโหลกศีรษะลดลง อาการเรื้อรัง อาการที่หาสาเหตุไม่ได้ ก็จะคลายและหายไปเอง

แก้ลม คลายพลังงาน บำบัดอาการอะไรบ้าง
                         28 ธันวาคม 2561

วันศุกร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2561

นวดไล่ลม คลายพลังงาน ( ตอนที่ 10.1 ) อะไรคือ นวดไล่ลม

นวดไล่ลม คลายพลังงาน ( ตอนที่ 10.1 )
อะไรคือ นวดไล่ลม

         นวดไล่ลม คนส่วนมากจะไม่คุ้นกับชื่อ ” นวดไล่ลม ” หลายๆคน เมื่อมีอาการเจ็บป่วยเกี่ยวกับอาการขัดของลมในร่างกาย ทำการรักษาในทุกๆทางที่จะทำได้ แต่ก็ยังไม่สามารถแก้ไขอาการนี้ได้ ทั้งนี้เพราะธาตุลมในร่างกายเรา ไม่สามารถตรวจวัดได้ ด้วยอุปกรณ์ทางการแพทย์ปัจจุบัน X-Rays ก็ไม่เห็น MRI ก็หาไม่เจอ ร่างกายเรามีอาการร้อนผ่าวอยู่ภายใน ปรอทวัดไข้ก็ไม่สามารถตรวจวัดอาการร้อนผ่าวนั้นได้
         ทั้งหมดนี้เกิดจากความไม่สมดุลของธาตุลมในร่างกายเรา ลมในร่างกายเรามีไม่มาก-ไม่น้อยไปกว่าขนาดรูปร่างของร่างกายเรา นั่นคือในภาวะปกติ ลมจะไหลเวียนเข้า-ออกตามรูขุมขนทั่วร่างกาย เมื่อลมเข้ามาในร่างกายทางจมูก ( ลมสามารถเข้ามาตามรูขุมขนทั่วร่างกาย ) แล้วลมไม่สามารถเคลื่อนไหลออกตามรูขุมขนต่างๆ จึงทำให้เกิดการบวมพองอยู่ภายในแนวเส้น บวมพองอยู่ภายในช่องท้อง บวมพองอยู่ในกะโหลกศีรษะ
        พลังงานลมเมื่อเคลื่อนไหลออกนอกร่างกายไม่ได้ จึงเกิดความเครียด ความดันอยู่ภายใน เนื่องจากการบำบัดที่ผ่านมา การใช้อุปกรณ์นั้นเป็นธาตุดิน จึงไม่สามารถตรวจวัดความไม่ปกติของธาตุลมได้ บ่อยครั้งที่เราไปตรวจรักษา แล้วได้คำตอบว่าอวัยวะของเราปกติ พร้อมกับไม่มีคำตอบว่าป่วยอะไร และจะรักษาอย่างไร
           
        การนวดไล่ลม เป็นส่วนหนึ่งของการนวดแผนไทย การนวดไล่ลมนั้น เราก็ต้องมีความรู้พื้นฐานการนวดบำบัด รู้จักแนวเส้น และต้องทำความเข้าใจในความหมายของการไหลเวียนของลมในร่างกาย 
                 ในการบำบัดอื่นที่เราเคยบำบัดมา เราจะรู้สึกว่า เป็นการบำบัดที่ทำให้ธาตุลมมีการเคลื่อนไหล จากตำแหน่งหนึ่งไปยังอีกตำแหน่งหนึ่ง ซึ่งการเคลื่อนไหลนี้ ลมไม่ได้เคลื่อนไหลออกนอกร่างกาย ยังคงไหลเวียนอยู่ภายในร่างกาย โดยจะเคลื่อนจากส่วนของร่างกายที่แนวเส้นมีลมขัด และแน่นอยู่ เมื่อโดนกดนวดบริเวณนั้นลมก็จะเคลื่อนไหลไปตามแนวเส้น ไปยังส่วนของร่างกายที่มีความหนาแน่นของลมน้อยกว่า
               เช่น เมื่อเรานั่งให้นวด ( บ่ามีอาการตึง ลมมีความหนาแน่นมาก ) เวลาที่เราโดนกดนวดลงมาที่บ่า เราจะรู้สึกว่าบ่าเบา แต่จะมีความรู้สึกว่ามีอาการเมื่อย ตึงลงมาที่แนวหลังใต้แนวสะบัก เมื่อยเข้ามาถึงเอว จะเมื่อยเอวอยู่ 1-2 วัน หลังจากนั้นเราจะเริ่มกลับมาตึงที่คอ-บ่า-ไหล่อีก ทั้งนี้เพราะการไหลเวียนพลังงานแบบนี้เป็นการไหลเวียนที่ลมไม่ไหลออกนอกร่างกาย เพียงแค่เปลี่ยนจากตำแหน่งหนึ่งไปอีกตำแหน่งนั่นเอง
         
   นวดไล่ลม เป็นการกดนวดปรับสมดุลของธาตุทั้งสี่ ธาตุดินน้ำลมไฟ โดยเป็นการเน้นปรับสมดุลของธาตุลมเป็นหลัก ทำให้ธาตุลมในร่างกายเกิดการไหลเวียน แล้วเคลื่อนไหลออกนอกร่างกาย ตามทวาร ตามข้อกระดูก ออกตามรูขุมขนทั่วร่างกาย
                                                           
......ถ้าลมเคลื่อนไหลออกนอกร่างกายได้ จะส่งผลต่อการบำบัดอาการเจ็บป่วยอย่างไร
                                                                                          22 ธันวาคม 2561

วันพุธที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2561

ลมและพลังงาน ( ตอนที่ 9.9 ) ไฟฟ้าสถิต

ลมและพลังงาน ( ตอนที่ 9.9 )
 ไฟฟ้าสถิต
            นวดไล่ลม-นวดคลายพลังงาน เป็นการกดนวดบำบัด โดยเน้นทำให้ลมเกิดการไหลเวียนออกนอกร่างกาย และเมื่อลมไหลออกนอกร่างกายตามรูขุมขน ทวารต่างๆได้ ลมที่เคลื่อนไหลออกตามรูขุมขน จะดึงพลังงานที่เก็บสั่งสมอยู่ภายในร่างกายเรา ให้ไหลออกไปด้วย
          ว่าไปแล้วพลังงานนี้ ก็คือไฟฟ้าสถิตที่อยู่ในร่างกายเรานั่นเอง อาการตัวร้อนแต่ไม่มีไข้ ก็คือการที่พลังงานที่เข้ามาแล้วออกไปนอกร่างกายไม่ได้ เกิดการสั่งสมพลังงาน เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จึงเกิดพลังงานเก็บอยู่ภายใน ยิ่งนานมากเท่าไร ความหนาแน่นของพลังงานก็จะยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ ธาตุไฟกำเริบขึ้น จึงทำให้เกิดความร้อนขึ้นภายในร่างกาย เป็นความผิดปกติของธาตุลมในร่างกาย ความร้อนที่เกิดขึ้นนี้ ไม่ได้เกิดจากความผิดปกติของธาตุดิน ( กล้ามเนื้ออักเสบ ) และธาตุน้ำ ( ติดเชื้อในกระแสเลือด ) ปรอทวัดไข้ซึ่งเป็นธาตุดิน จึงไม่สามารถตรวจวัดได้ เมื่อเรากดนวดไล่ลม ทำให้ลมไหลออกนอกร่างกายได้ อาการร้อนแต่ไม่มีไข้ก็จะค่อยๆดับลงในที่สุด
          พลังงานที่สั่งสมในร่างกายนี้ หรือไฟฟ้าสถิตในร่างกายเรา ในชีวิตประจำวันของเราจะเคยสัมผัสบ้าง เช่น ถ้าเราอยู่ในที่ๆมีอากาศเย็นชื้น เช่นอยู่ในซุปเปอร์มาร์เก็ต เวลาที่เข็นรถเข็นที่มีโครงสร้างเป็นโลหะ คนที่มีอาการตัวร้อนแต่ไม่มีไข้ ส่วนมากแล้วเวลาที่จับรถเข็น จะมีอาการสปาร์ค เหมือนไฟช็อต จนบางครั้งแรงจนแขนเรากระตุก กระชาก
         ในขณะที่เราจับรถเข็น พลังงานที่สั่งสมอยู่ภายใน ( ไฟฟ้าสถิต ) เกิดการเคลื่อนไหลออกมา  ผ่านสื่อกลางคือตัวรถเข็น ลงสู่พื้นห้อง
       
         สามวันก่อน ได้นวดผู้ป่วยเดิมที่เคยนวด อยู่ที่พุทธมณฑล สาย3 มีอาการเส้นบวม ตึง ตลอดซีกขวามือ ก็ได้ทำการนวดบำบัดนวดไล่ลม นวดในห้องที่ติดเครื่องปรับอากาศ นวดจนครบเวลา ปรากฎว่าวันนี้มีเหตุบางอย่าง ที่ทำให้จะต้องกล่าวถึง คือ เมื่อนวดผู้ป่วยเสร็จ ก็จัดการเก็บที่นอน เก็บเสื่อ ปรากฎว่าขณะที่ผมได้ช่วยพับ  เก็บเสื่อ ที่ผู้ป่วยยังไม่ได้เก็บ และส่งต่อเสื่อนี้ให้ผู้ป่วยไปเก็บ โดยที่ผมและผู้ป่วยไม่ได้ใส่รองเท้า ยืนเท้าเปล่าอยู่บนพื้นกระเบื้อง
         เกิดเหตุการณ์คือ ที่มือของผมและมือของผู้ป่วย มีอาการสปาร์คของพลังงาน ที่มือผมพลังงานสปาร์คขึ้นมาแค่ที่มือ แต่ที่มือของผู้ป่วยพลังงานเคลื่อนจากมือขึ้นไปถึงข้อศอก มีเสียงดังเหมือนไฟช็อต ( เสียงช็อตของไม้ตบยุง )
       
           เหตุการณ์นี้จึงทำให้เข้าใจได้ว่า เมื่อเราจับรถเข็น พลังงานที่สั่งสมอยู่ในกายเรา เมื่ออยู่ในที่ๆชื้น อากาศเย็น พลังงานนี้จะเคลื่อนไหลออกมา แล้วลงพื้นดินโดยผ่านตัวกลางคือรถเข็นโลหะ
         สำหรับกรณีที่เล่าให้ฟังนี้ เราปูเสื่ออยู่ชั้นล่างสุด  ปูที่นอนซ้อนไว้ด้านบน นวดอยู่ในห้องที่เย็นชื้น เมื่อเรามีการกดนวดไล่ลม พลังงานที่เคลื่อนไหลออกมาจากร่างกายผู้ป่วย ก็ไปสั่งสมตรงที่นอน ผ่านลงไปถึงเสื่อ ไฟฟ้าสถิตนี้ยังไม่เคลื่อนลงพื้นดิน  พอเราขยับ เก็บ พับเสื่อ พลังงานที่เก็บอยุ่ที่เสื่อ ก็จะสปาร์ค เคลื่อนไหลกลับมาที่มือเรา แล้วลงดิน ( ไม่ได้ใส่รองเท้า )
         เหตุการณ์นี้อธิบายคร่าวๆได้ว่า ในขณะที่เรากดนวดไล่ลม พลังงานหรือไฟฟ้าสถิตในร่างกายเคลื่อนออกมาด้วย ไปเก็บอยู่ที่เสื่อที่เป็นฉนวน
         เมื่อเราพับ เก็บเสื่อ มีอาการสปาร์คที่มือที่จับเสื่อ แสดงว่าพลังงานที่เคลื่อนออกมาเก็บที่เสื่อ ได้เคลื่อนไหลกลับมาร่างกายเรา ที่มือ แล้วพลังงานวิ่งผ่านร่างกาย ลงพื้นดินที่เรายืนอยู่  เหมือนกับมือเรามีอาการสปาร์คขณะที่เราจับรถเข็นโลหะ

            พลังงานที่สั่งสมอยู่ในร่างกาย แล้วเคลื่อนไหลออกมาในรูปแบบของไฟฟ้าสถิต เรากดนวดไล่ลม ทำให้พลังงานที่สั่งสมอยู่นี้เคลื่อนไหลออกมา ค่อยๆคลาย ลดปริมาตรภายในร่างกายลงมาเรื่อยๆ พลังงานนี้เมื่อออกมายังคงไม่ไปไหนไกล ยังอยู่บนพื้นผิวของเสื่อ ถ้ามีมาก ปัจจัยที่เหมาะสม มีสื่อกลางไปเชื่อม คือมือเราไปจับ ไหลผ่านกายเราลงเท้า ลงพื้นดิน เป็นการครบวงจรของการไหลของกระแสไฟ

     
                           05 ธันวาคม 2561

วันอังคารที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ลมและพลังงาน ( ตอนที่ 9.8 )

ลมและพลังงาน ( ตอนที่ 9.8 )
พลังงานกับอาการตึงแข็งของแนวเส้น

          นวดไล่ลม หลายๆคนที่ยังมีอาการป่วยไม่หนัก จนถึงต้องแก้ที่ลมในกาย จะไม่คุ้นเคยกับการนวดบำบัดนวดไล่ลม เพราะไม่ค่อยมีใครพูดถึงเรื่องการบำบัดลมในกาย ที่บำบัดกันเป็นแค่ การทำให้ลมเคลื่อนไหลเปลี่ยนจากจุดหนึ่ง ย้ายไปอยู่อีกจุดหนึ่ง ลมที่เคลื่อนไหลนี้ยังไม่ไหลออกนอกร่างกายเรา

           ที่ต้องกล่าวย้ำถึงความหมาย และลักษณะการไหลเวียนของลมบ่อยๆ เพราะธาตุลมและธาตุไฟเป็นนามธรรม เราไม่สามารถเห็นด้วยตาได้ ไม่เหมือนธาตุดินและธาตุน้ำ ที่เป็นรูปธรรมเห็นได้ด้วยตา จับต้องได้ด้วยมือ การกดนวดการบำบัดรักษาที่ผ่านๆมา จึงเป็นการบำบัดที่ธาตุดินและธาตุน้ำมากกว่า ธาตุลมและธาตุไฟ เราจึงละเลยที่จะรักษาให้กลับมาสู่สมดุลของร่างกาย เป็นสมดุลของธาตุดินน้ำลมไฟ
          การนวดเส้น คือการนวดเส้นที่มีเลือดและลมแล่นอยู่ คำนี้จึงหมายถึงในเส้นเลือด มีเลือด และลม ไหลเวียนอยู่ในเส้นเลือด ต้องถามว่า การบำบัดรักษาอาการป่วยที่ผ่านมา การไหลเวียนของลมเป็นอย่างไร แค่เคลื่อนเปลี่ยนจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง หรือการรักษา การกดนวดนั้นๆทำให้ลมไหลออกนอกร่างกาย ตามรูขุมขนได้
        ลมขัด คือลมในแนวเส้นไม่ไหลเวียนออกนอกร่างกาย ธาตุลมในร่างกายเรา มีไม่มากไปกว่าขนาดร่างกายเรา อาการเจ็บป่วยเรื้อรังต่างๆ มาจากพลังงานที่ซึมซับเข้ามา ฝังเก็บแล้วทับถมอยู่ในร่างกายเรา เมื่อใดที่เราทำให้ลมเคลื่อนไหลออกนอกร่างกายได้ พลังงานเหล่านั้นก็จะคลายตามออกไปด้วย  อาการบวมโตของแนวเส้นก็จะลดลงมาเอง การขยับแขนขา ขยับข้อต่างๆก็จะคล่องตัวขึ้น
        แนวเส้นหรือเส้นที่มีเลือดและลมแล่นอยู่ ถ้าเปรียบแนวเส้น เป็นสายดับเพลิง จากสายที่นิ่มแบน นิ่มในลักษณะที่เราสามารถม้วนเก็บสายดับเพลิงนั้นได้ เมื่อใดที่เราเปิดวาล์วให้น้ำไหลเข้าสายดับเพลิง สายดับเพลิงจะเปลี่ยนสภาพแข็ง ตึงขึ้นมาทันที จนเราไม่สามารถหักหรืองอ สายดับเพลิงนั้นได้อีก เพราะน้ำเป็นของเหลว เมื่ออยู่ในภาชนะ รูปทรงใด ก็จะกระจายไปอยู่จนเต็มภาชนะรูปทรงนั้น น้ำที่อยู่เต็มสายดับเพลิง เมื่อมากขึ้นเรื่อยๆ จึงไปดันที่ผิวด้านในของสายดับเพลิง ความหนาแน่น ความดันของน้ำ ทำให้สายยางแข็ง หนัก งอและม้วนเก็บไม่ได้
          เมื่อเราปิดวาล์วน้ำไม่ให้ไหลเข้ามา  แล้วปล่อยน้ำให้ไหลออกที่หัวฉีดดับเพลิง สายดับเพลิงจะค่อยๆนิ่มลง น้ำไหลออก จนสายแบน ราบ จนเราสามารถม้วนเก็บสายดับเพลิงนั้นได้

         การนวดไล่ลม เปรียบแล้วก็เหมือนการทำให้สายดับเพลิงนิ่มลง จนม้วนเก็บได้ คือ การกดนวดไล่ลมนั้น จะเป็นการกดนวด กระทุ้งลมที่แนวเส้น การกระทุ้งนี้ส่งผลให้ ลมเคลื่อนไหลออกนอกร่างกาย ตามข้อกระดูก ตามทวาร ตามรูขุมขนทั่วร่างกายที่แนวเส้นลากผ่าน  เมื่อลมเคลื่อนไหลออกนอกร่างกายได้ พลังงานที่ซึมซับและสั่งสมอยู่ภายในร่างกาย ก็จะเคลื่อนไหลตามลมในกายที่เคลื่อนออก

          อาการเจ็บป่วยเรื้อรังในร่างกายคน เกิดจากการที่เราซึมซับพลังงานที่กระทบเข้ามา จากทุกๆอิริยาบท ตั้งแต่เกิดมา จะเกิดจากการใช้ชีวิตประจำวัน หรือจากอุบัติเหตุ ทุกๆพลังงานที่เคลื่อนเข้ามา จะต้องเคลื่อนไหลออกไปด้วย จึงจะเกิดความสมดุลของธาตุทั้งสี่
          พลังงานที่เข้ามาจากภายนอกร่างกาย เก็บสั่งสมอยู่ในร่างกายเรา ตามแนวเส้น ตามแนวกล้ามเนื้อ ช่องว่างในร่างกาย เช่นช่องท้อง กระโหลกศีรษะ ผิวกายของเราเหมือนกับผิวสายดับเพลิง คือพลังงานจะสั่งสมอยู่จากผิวด้านบน แล้วค่อยๆอัดแน่นลงไปเรื่อยๆ  เมื่อลมและพลังงานเป็นนามธรรม ไม่เห็นด้วยตา เครื่องไม้เครื่องมือที่ตรวจวัดจะสัมผัสได้แค่ธาตุดิน และธาตุน้ำ แต่ธาตุลมและธาตุไฟไม่สามารถตรวจจับได้
             การที่ธาตุลม ไม่สามารถไหลเวียนออกนอกร่างกาย จึงทำให้พลังงานที่สั่งสมภายในแนวเส้น บวมพอง โตขึ้น ( เหมือนกับสายดับเพลิงที่น้ำเต็มสาย ) แนวเส้นคือเส้นเลือดที่ปลายปิด ปลายเส้นเลือดจะเปิดเมื่อเข้าสู่อวัยวะ ดังนั้นเมื่อเส้นบวมพองระหว่างกระดูกแต่ละท่อน การพับของข้อต่างๆ ก็จะไม่สะดวก ไม่คล่องตัวเหมือนเดิม ( เหมือนสายดับเพลิงที่น้ำเต็มสาย จนม้วนสายไม่ได้ งอพับสายไม่ได้ ) มีผลทำให้พับข้อไม่ลง เข่าพับงอไม่ได้ หลังค่อมหลังงอ  ขาโกร่ง นิ้วล็อค อาการทั้งหมดนี้ทำให้เราขยับข้อ ขยับท่อนกระดูกต่างๆยากเย็น ตึงมากๆจะเดินเหมือนหุ่นยนต์ ความยืดหยุ่นในการเคลื่อนไหวของร่างกายนั้นหมดไป
         เมื่อเรากดนวด ให้ลมและพลังงานเคลื่อนไหลออกร่างกาย ตามรูขุมขนที่แนวเส้นลากผ่าน ความดันของพลังงานที่สั่งสมอยู่จะลดลงมา แนวเส้นที่เคยบวม โต ก็จะแฟบ ยุบลงมา แนวเส้นที่อยู่ใกล้ข้อกระดูกต่างๆ ก็จะแฟบลง การขยับ การเคลื่อนไหวของร่างกายก็จะนิ่มนวล อ่อนลงมา ความยืดหยุ่นของการเคลื่อนไหวตามท่อนกระดูก และข้อกระดูก ตามแนวเส้นก็จะกลับมาดีขึ้น อาการหลังงอ หลังตึง นิ้วล็อค ก็จะเบาลง และหายไปในที่สุด

วันเสาร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ลมกับพลังงาน ( ตอนที่ 9.7)

ลมกับพลังงาน ( ตอนที่ 9.7 )
ลมและพลังงานในร่างกาย

             ร่างกายของคนเราประกอบด้วยธาตุสี่ คือธาตุดิน-น้ำ-ลม-ไฟ ธาตุทั้งสี่นั้นอยู่ใต้ผิวหนัง กระจายอยู่ทุกๆอณูในร่างกาย
             การนวดเส้น คือการนวดเส้นที่มีเลือดและลมแล่นอยู่ ดังนั้นเมื่อเราทำการบำบัดอาการ ไม่เพียงแค่บำบัดทำให้เลือดไหลเวียนไปได้ทั่วร่างกาย การนวดบำบัดนั้นๆจะต้องมีผลต่อการไหลเวียนของธาตุลมในร่างกาย คือลมสามารถเคลื่อน แล้วไหลออกนอกร่างกาย ตามทวารต่างๆ ตามข้อกระดูกต่างๆ และที่สุดคือไหลออกตามรูขุมขน ทุกๆรูขุมขนทั่วร่างกาย

              พลังงานจากภายนอก ที่กระทบเข้ามาในร่างกาย พลังงานที่เข้ามานี้จะเคลื่อนไหลไปกับลมที่แล่นในแนวเส้น เมื่อลมไม่สามารถเคลื่อนไหลออกนอกร่างกายได้ พลังงานที่เคยเข้ามา ก็จะไม่สามารถไหลออกนอกร่างกายเราได้ จึงเกิดการสั่งสมของพลังงานตามแนวเส้น ทั่วร่างกาย

              ร่างกายเราเหมือนลูกโป่ง แต่ผิวกายเราไม่เหมือนผิวลูกโป่ง เมื่อใดที่เราเป่าลมเข้าไปในลูกโป่ง จากลูกโป่งแบนแฟบ ก็จะค่อยๆโตขึ้น ค่อยๆแข็งขึ้น ถ้าเราเป่าลูกโป่งใบนั้นให้โตเต็มใบ ลมที่แน่นในลูกโป่ง จะทำให้ลูกโป่งใบนั้นมีความหนาแน่น หรือมีความดันสะสมภายในลูกโป่ง
        เป่าลมเข้าไปจนความดันพลังงานสูงสุดที่ผิวลูกโป่งจะรับได้  ถ้าเราลองบีบลูกโป่งใบนั้น ลุกโป่งจะแข็ง จะต้านมือ บีบแรงเกินไปลูกโป่งจะแตกได้
              ถ้าเราค่อยๆปล่อยลมในลูกโป่งใบนี้ ค่อยๆทำให้ลมในลูกโป่งไหลออก ลูกโป่งจะค่อยๆมีขนาดใบเล็กลง ส่งผลถึงความดันของลมในลูกโป่งก็จะค่อยๆปรับลดลงไปด้วย เมื่อเราบีบลูกโป่งที่แฟบลงมา ลูกโป่งจะนิ่มลง บีบแล้วไม่ต้านมือ

             ที่กล่าวว่าผิวกายเรานั้นเหมือนผิวลูกโป่ง เหมือนกันตรงที่ลมที่อยู่ด้านในร่างกายหรืออยู่ในลูกโป่ง มีมากไม่เกินความยืดหยุ่นของผิว
              ลูกโป่งถ้าเป่าให้โตเต็มใบ ความดันลมภายใน จะทำให้เรารู้สึกว่าลูกโป่งแข็ง ไม่มีความยืดหยุ่นหลงเหลืออยู่ ถ้าบีบแรงกว่านี้ ลูกโป่งจะแตกได้
              สำหรับผิวกายเรา ลมที่แล่นอยู่สามารถไหลเวียนออกนอกร่างกายได้ ตามรูขุมขน แต่ถ้าเมื่อใดร่างกายเรารูขุมขนปิด ลมในร่างกายไม่สามารถไหลเวียน แล่นทะลุออกนอกร่างกายตามรูขุมขนได้ ผิวกายเราก็จะมีสภาพคล้ายผิวลูกโป่ง คือลมเคลื่อนออกไม่ได้ พลังงานก็จะไหลออกนอกร่างกายไม่ได้ด้วย
            ลมที่ระบายไม่ออกก็จะเกิดการสั่งสมของพลังงาน ในแนวเส้น ในแนวกล้ามเนื้อ ในช่องท้อง ในกระโหลกศีรษะ  พลังงานที่กระทบเข้ามาในแต่ละครั้ง เมื่อไหลเวียนออกตามรูขุมขนไม่ได้ ก็จะสั่งสมอยู่ นานวันเข้าพลังงานเหล่านี้ เมื่อเก็บอยู่ในร่างกาย ก็จะทำให้เกิดแรงกด แรงดัน มากขึ้นเรื่อยๆ
        พลังงานนี้ไม่สามารถดันผิวกายเราให้แตกเหมือนลูกโป่ง เพราะผิวกายเรากล้ามเนื้อมีความยืดหยุ่นพอ ความกด ความดันของพลังงานนี้จึงไปกดทับกล้ามเนื้อ กดทับอวัยวะ กดทับไปตามแนวเส้น พลังงานไปสั่งสมอยู่ที่ช่องท้อง กระโหลกศีรษะ ทำให้เกิดแรงไปกดทับกล้ามเนื้อ อวัยวะในร่างกาย
        เมื่ออวัยวะ กล้ามเนื้อ ถูกลมและพลังงานกดทับ การทำงานของกล้ามเนื้อและอวัยวะนั้นลดประสิทธิภาพลง ดังนั้นถ้าเราสามารถทำให้ลมเคลื่อนไหลออกนอกร่างกายได้ พลังงานก็จะเคลื่อนไหลออกไปด้วย อาการกดทับกล้ามเนื้อ กดทับอวัยวะก็จะคลายตัวลงไปเอง

        ลูกโป่งรูปคน เป็นภาพที่ทำให้เราเห็นว่า ถ้าเราเป่าลมในลูกโป่งรูปคน ให้ลูกโป่งโต และแข็งขึ้น เป่าลมเข้าไปให้โตเต็มใบ เราจะไม่สามารถหักแขน หักขา หรือบิดลูกโป่งใบนี้ได้  ถ้าเรากด บีบลูกโป่งแรงๆ ลูกโป่งอาจจะแตกได้

       การที่คนเราจะขยับแขนขา ขยับท่อนกระดูก ขยับข้อกระดูกต่างๆ ถ้าอยู่ในสภาวะที่ร่างกายเรามีปัญหาเรื่องลมและพลังงานไม่ไหลเวียนออกนอกร่างกาย ความดันของพลังงาน จะไปกดทับกล้ามเนื้อและอวัยวะภายใน ทำให้การทำงานอวัยวะนั้นๆเสียสภาพลงชั่วคราว แนวเส้นที่เคยแฟบก็บวมพองขึ้นมา การเคลื่อนไหวแขนขา ของข้อกระดูกต่างๆก็จะเสียสภาพไปชั่วคราว เหมือนลูกโป่งรูปคนที่หักแขนขาไม่ได้
       
         เรากดนวดไล่ลม ทำให้ลมและพลังงานไหลเวียนออกนอกร่างกาย จึงเหมือนการปล่อยลมในลูกโป่งให้ค่อยๆแฟบลง เล็กลงมา เมื่อลูกโป่งใบเล็กลงมา ความดันของลมในลูกโป่งลดลง นิ่มลง  เราก็จะสามารถงอแขนขาลูกโป่งรูปคนได้

          เมื่อลมไหลเวียนออกนอกร่างกายได้ ลมพาพลังงานให้ไหลออกไปด้วย จึงทำให้พลังงานที่สั่งสมอยู่ตามแนวเส้น สั่งสมอยู่ที่อวัยวะ อยู่ที่ช่องท้อง กระโหลกศีรษะ มีพลังงานสั่งสมน้อยลงไปเรื่อยๆ
         แนวเส้นที่เคยบวม โป่ง พองโตขึ้นมา ก็จะยุบลง การขยับท่อนกระดูก ข้อกระดูกต่างๆ ก็จะค่อยๆคลายกลับมาใช้งานได้จนเป็นปกติ       
           
             

                       
    18 พฤศจิกายน 2561

วันศุกร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ลมกับพลังงาน ( ตอนที่ 9.6 )

ลมกับพลังงาน ( ตอนที่ 9.6 ) 
เส้นบวมพองที่กระดูกสันหลังเอว

              ลมและพลังงาน เมื่อสั่งสมอยู่ณ.ที่ใด ในร่างกายของคนเรา สะสมตามอวัยวะต่างๆ ย่อมส่งผลกระทบต่อการทำงานของอวัยวะนั้น ในกรณีของอาการปวดเมื่อยที่แผ่นหลัง แนวเส้น แนวกล้ามเนื้อจะถูกพลังงานเข้ากระทบ จากการสั่งสมของพลังงานที่เพิ่มขึ้นมา 
            เส้นชิดกระดูกสันหลังเส้นที่1 , เส้นชิดกระดูกสันหลังเส้นที่2 เส้นนี้จะนวดบำบัดได้โดยการกดนวดเส้น ในท่านอนคว่ำ อาการจะเริ่มต้นมาจากด้านล่างของร่างกาย จากฝ่าเท้า ส้นเท้า เอ็นร้อยหวาย กลางปลีน่อง ก้นกบ แผ่นหลัง บ่า เส้นคอ ศีรษะ หน้าผาก
            เส้นหน้าขา เส้นหน้าแข้งเส้นที่1 เส้นนี้จะบำบัดได้เมื่อเรากดนวดในท่านอนหงาย อาการของเส้นนี้จะเกิดขึ้นจากด้านล่างของของร่างกาย บริเวณตาตุ่มด้านนอก จากอาการขาพลิก-ขาแพลง บริเวณตาตุ่มนอก ทิศทางกระจายลงไปที่หลังเท้า ร่องนิ้วเท้า อีกทิศทางหนึ่งกระจายขึ้นไปตามแนวหน้าแข้งด้านนอกเส้น 1 ผ่านเข้ามาที่ช่องท้อง เข้าไปที่แนวกระดูกสันหลังเอว
           เส้นข้างขาด้านใน เส้นหน้าแข้งด้านใน เส้นนี้บำบัดได้ด้วยท่านอนตะแคง อาการของเส้นนี้เริ่มจากด้านบนของร่างกาย คอ-บ่า-ไหล่ เคลื่อนลงมาที่สะบัก แนวหลังใต้แนวสะบัก แนวเอวตัดขวางเข้ากระดูกสันหลังเอวข้อ 3-4-5 แนวกระเบนเหน็บ แนวเส้นข้างขาด้านใน แนวหน้าแข้งด้านใน ตาตุ่มใน ฝ่าเท้าบริเวณแนวร่องนิ้วโป้งและนิ้วชี้ 
         กดแนวเส้นบริเวณรอบๆสะดือ พลังงานจะดันไปออกที่แนวกระดูกสันหลังเอว 

        การที่เรากดนวดไล่ลมลงบนแนวเส้น พลังงานก็จะเคลื่อนไหลไปตามแนวเส้น ดังนั้นอาการปวดหลังปวดเอว เราต้องรู้ตำแหน่งที่มีอาการ การบำบัดก็จะคลายตัว และหายได้ อาการปวดหลังปวดที่กระดูกสันหลังเอว จึงต้องคำนึงถึงทิศทางการเคลื่อนตัวของพลังงานและลมในแนวเส้น เพราะถ้าหากเรากดนวดไล่ลมตามแนวต่างๆ พลังงานยังไหลไปออกนอกร่างกายไม่ได้ พลังงานที่เคลื่อนไหลมานั้น จะยังคงบวมพองอยู่ในแนวเส้นนั้น
        ถ้าไปบวมพองอยู่ที่แนวหลังใต้แนวสะบัก เราก็จะมีอาการตึงเมื่อยแผ่นหลัง 
        ถ้าไปบวมพองที่แนวเอวตัดขวางเข้ากระดูกสันหลังเอว ก็จะมีอาการเมื่อยที่เอวเหมือนหลังแทบขาด
        ถ้าไปบวมพองที่กระดูกสันหลังคอ ก็จะมีอาการหมอนรองกระดูกเคลื่อนทับเส้นประสาทแขน 
       ถ้าไปบวมพองที่กระดูกสันหลังเอวข้อที่ 3-4-5 ก็จะมีอาการหมอนรองกระดูกเคลื่อนทับเส้นประสาทขา
       ถ้าไปบวมพองที่กระดูกสันหลังท่อนอื่นๆ ก็จะไปกดทับแนวเส้นประสาทไขสันหลัง ทำให้อวัยวะที่เส้นประสาทไขสันหลังนั้นกำกับอยู่ผิดปกติไป 
        และการที่พลังงานได้ไปบวมพองที่แนวเส้นแนบกระดูกสันหลัง จะทำให้เราก้ม งอลำตัวลำบาก เกิดอาการหลังค่อม 

                                                                                      10 พฤศจิกายน 2561

ลมและพลังงาน ( ตอนที่ 9.5 )

ลมและพลังงาน ( ตอนที่ 9.5 )
เส้นคอบวม ตึง ส่งสัญญานถึงอะไร

           เวลาที่เรามีอาการปวดศีรษะ ถ้าปวดศีรษะข้างซ้ายเส้นคอข้างซ้ายก็จะบวม พองโตขึ้นมา ถ้าปวดศีรษะข้างขวาเส้นคอข้างขวาก็จะบวม พองโตขึ้นมา
            วันไหนที่เราไม่มีความเครียด ไม่มีอาการไมเกรน  อาการคอตกหมอน เส้นคอเราทั้ง2ข้าง ก็จะอยู่ในสภาพปกติ ไม่ตึงบวมขึ้นมา
         
           ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า  การนวดเส้น คือการนวดเส้นที่มีเลือดและลมแล่นอยู่ และลมในร่างกายไม่ได้มีมากเกินขนาดร่างกาย อาการขัดของลมในร่างกาย เป็นเพียงแค่ลมยังคงไหลเวียนไปมา วนอยู่ในร่างกาย ลมไม่สามารถไหลเวียนออกนอกร่างกายได้ เมื่อลมไม่ไหลเวียนออกนอกร่างกาย พลังงานที่ซึมซับเข้ามา แล้วสั่งสมอยู่ในร่างกาย ก็ไม่สามารถเคลื่อนไหลออกนอกร่างกายเราได้เช่นกัน
          อาการขัดของลมในร่างกาย จึงเป็นเรื่องของพลังงานที่ไม่สามารถไหลเวียนออกนอกร่างกายได้ด้วย เมื่อกล้ามเนื้อต้นคอแข็งตึง การไหลเวียนของลมและพลังงานที่จะผ่านรูขุมขนที่ต้นคอก็ลดลง เมื่อพลังงานคลายไหลออกไปไม่ได้ จึงค่อยๆสั่งสมอยู่ที่แนวเส้นคอ ถ้าเราไม่สามารถนำพลังงานนี้ให้ออกนอกร่างกายได้ ก็จะเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ
          เราจะสังเกตถึงการสั่งสมของพลังงานได้ โดยการเห็นแนวเส้นที่โป่งพอง บวมโตขึ้นมา การX-Rays การใช้อุปกรณ์ เครื่องมือทางการแพทย์  ไม่สามารถตรวจพบลมและพลังงานได้ จึงทำให้เราไม่เคยได้รับการบำบัดอาการขัดของลม และพลังงาน

            ลมและพลังงาน แล่นหรือไหลเวียนอยู่ในแนวเส้น ลมและพลังงานสามารถเคลื่อนตัวจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่ง ด้วยการแพร่ของพลังงาน จะไหลไปตามแนวเส้น ฉนั้นพลังงานก็ยังคงคั่งค้างอยู่ในร่างกาย  ตามแนวเส้นทั่วร่างกายเรา บางแนวฝังอยู่ใต้ผิวหนังลึก บางแนวเส้นอยู่ในช่องท้อง บางแนวเส้นอยู่ในกระโหลกศีรษะ บางแนวเส้นอยู่ข้างในอวัยวะ ตามท่อนกระดูกต่างๆ มละพลังงานจะคลายออกนอกร่างกายเราได้ ตรงแนวเส้นที่จะลากผ่านข้อกระดูกต่างๆ

*** ถ้าหากพลังงานไปสั่งสมอยู่ตามแนวเส้นต่างๆ จะเกิดอะไรขึ้น *** 

                                                             
                         03 พฤศจิกายน 2561

วันพุธที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2561

ลมกับพลังงาน ( ตอน 9.4 )

ลมกับพลังงาน ( ตอน 9.4 )
หัวใจเต้นผิดจังหวะ

       เมื่อวานนี้ได้นัดนวดผู้ป่วย เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ผู้ป่วยอยู่แถวพุทธมณฑลสาย4 อาการป่วยเบื้องต้นที่เคยคุยไว้คือ มีอาการเรอบ่อย ได้รักษาอาการป่วยนี้มาประมาณ1ปีแล้ว ไปตรวจรักษาที่โรงพยาบาลมาแล้ว และออกกำลังกายด้วยการเล่นโยคะ  จนปัจจุบันนี้อาการเรอก็ยังมีอยู่
       ที่ผ่านมาเคยมีอาการตัวบวมตึง ตัวบวมไปด้วยลม แต่น้ำหนักไม่ขึ้น 
       จะมีอาการร้อนอยู่ภายในกาย ลมเคลื่อนไปมาในร่างกาย มีอาการร้อนวูบวาบในกายนี้เมื่อวัดปรอทวัดไข้ ก็ไม่มีไข้
        เวลาอยู่ในที่ๆอากาศเย็น ( ในห้องแอร์ ) แล้วออกไปในที่ๆมีแดดร้อนๆ จะมีอาการมึน   ปวดศรีษะ
       อาการตาพร่ามัว
       เวลาทานอาหาร จะกลืนอาหารไม่ค่อยลง และหายใจลำบาก สูดลมหายใจได้ไม่ลึก หายใจไม่ทั่วท้อง
       ทานอาหารแล้วไม่ย่อย  เคยมีอาการกรดไหลย้อน
       ปัสสาวะบ่อยๆ กะปริบกะปรอย ปัสสาวะไม่สุด
       มีอาการหน้าท้องโตแต่ไม่ได้ตั้งครรภ์
      และอาการสำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือเหนื่อยง่าย หายใจลำบาก ซึ่งอาการเหนื่อยง่ายนี้ ก็ได้ไปตรวจรักษาที่โรงพยาบาลแล้ว แต่ตรวจหาสาเหตุของอาการไม่ได้ ทางกายภาพแล้วหัวใจ กล้ามเนื้อหัวใจก็ยังปกติ ทำงานได้ตามปกติ ล่าสุดมีอาการแพทย์แจ้งว่า หัวใจเต้นผิดจังหวะ

          บำบัดโดยทำการกดนวดไล่ลม ที่ขาท่อนบน ท่านอนคว่ำ ( เส้นหลัง ) ท่านอนตะแคง ( เส้นข้างขาด้านใน ) ท่านอนหงาย ( เส้นหน้าขา )
       นวดท่านั่ง ( แนวเส้นระหว่างร่องสะบัก-กระดูกสันหลัง และแนวเส้นบ่า เส้นคอ และนวดไล่ขึ้นไปที่ศีรษะ )
            เมื่อเริ่มต้นนวดท่านอนคว่ำ ผู้ป่วยก็มีการเรอออกมาตลอดเวลาที่กดนวด และเมื่อนวดไประยะหนึ่งเริ่มมีลมร้อน วิ่งไหลออกที่ข้อหัวเข่า ข้อเท้า และวิ่งร้อนออกปลายเท้า ขณะที่ลมวิ่งร้อนออกที่หัวเข่า อาการตัวร้อนผ่าวๆ ก็ค่อยๆดับลงไปเรื่อยๆ จนเมื่อลมร้อนวิ่งออกที่ข้อเท้า ที่ปลายเท้า อาการตัวร้อนแต่ไม่มีไข้ก็ดับหายไปเอง
           อาการตาพร่ามัวก็หายไป อาการลมแน่นท้อง อาการช่องท้องบวมโตก็นิ่มลงมา  การหายใจของผู้ป่วยก็เบาสบายขึ้น หายใจได้ลึก และที่สำคัญคืออาการเหนื่อยหายไป

           ทั้งนี้เนื่องจาก พลังงานที่สั่งสมอยู่ในกาย ไม่สามารถไหลเวียนออกนอกร่างกายได้ พลังงานสั่งสมตามแนวเส้น ที่ศีรษะ ที่ช่องท้อง เมื่อเราทำการกดนวดที่ขาท่อนบน ลมที่อยู่บริเวณแนวเส้นขาท่อนบน ขาท่อนล่าง จะไหลเวียนออกนอกร่างกายได้ดีขึ้น ตามลำดับ เมื่อลมไหลออกนอกร่างกายได้ ลมก็จะนำพาพลังงานที่สั่งสม แล้วไปกดทับอวัยวะต่างๆ
          ทำให้พลังงานคลายความหนาแน่นลง จึงคลายการกดทับไปที่อวัยวะ จนทำให้อวัยวะต่างๆตามแนวเส้น ที่กระโหลกศีรษะ ที่ช่องท้อง เริ่มกลับมาทำงานได้ตามปกติ อาการเรื้อรังต่างๆ ก็จะค่อยๆดีขึ้น และหายไปในที่สุด

            หัวใจก็เช่นกัน หัวใจอยู่ในช่องท้อง ลมที่สั่งสมมากอยู่ในช่องท้อง ไปกดทับอวัยวะทุกๆอย่างในช่องท้อง หัวใจเราก็โดนกดทับด้วย ทำให้หัวใจ บีบตัวแล้ว คลายตัวไม่ออก จึงทำให้เราเหนื่อยง่าย
             ปอดก็เหมือนกัน เมื่อปอดหดตัว แล้วขยายตัวขึ้นมาไม่ได้เท่าเดิม ไม่เต็มที่ การหายใจเข้าก็จะนำก๊าซออกซิเจนเข้ามาได้น้อยกว่าปกติ
             หลังจากที่กดนวดไล่ลมเสร็จแล้ว ปรากฎว่า อาการเหนื่อยหายไป หายใจได้ลึกขึ้น จึงอธิบายได้ว่า เมื่อเราทำให้ลม สามารถไหลเวียนออกนอกร่างกายได้ ลมจะนำพาพลังงานที่สั่งสมอยู่ในร่างกาย ในอวัยวะ ในช่องท้อง ทำให้พลังงานนั้นๆไหลออกนอกร่างกายตามรูขุมขน ตามข้อกระดูก
          อวัยวะเมื่อไม่ถูกพลังงานเข้ามาบีบรัด กดทับ ก็กลับมาทำงานได้ตามปกติ อาการป่วยไข้ก็หายไปเอง
                                 
                                    31 ตุลาคม 2561                                                     

วันศุกร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2561

ลมกับพลังงาน ( 9.3 )

ลมกับพลังงาน  ( 9.3 )
เคี้ยวอาหารไม่ได้

         ลมและพลังงาน เมื่อสั่งสมอยู่ณ.ที่ใดในร่างกายคนเรา ตามอวัยวะต่าง ย่อมส่งผลกระทบต่อการทำงานของอวัยวะนั้นๆ
          พี่สาวของผม เมื่อหลายวันก่อนมีอาการเคี้ยวอาหารไม่ได้ มีอาการที่กระบอกตา ตึงเกร็ง อาการนี้เพิ่งเกิดขึ้นใหม่ หลังจากที่เมื่อก่อนก็เคยมีอาการกลืนอาหารไม่ได้ กลืนน้ำลายไม่ลง หายใจลำบาก
         อาการที่เกิดขึ้นนี้ หลังจากที่กดนวดไล่ลมแล้ว ในท่านอนคว่ำ กดที่ต้นขาด้านหลัง บริเวณก้นย้อย และท่านอนตะแคง กดที่ต้นขา เส้นข้างขาด้านใน คือให้ลมไหลร้อนออกข้อกระดูกเข่า ข้อกระดูกเท้า จนลมร้อนวิ่งไหลออกปลายเท้า
        เมื่อกดนวดไล่ลมไประยะหนึ่ง ปรากฏว่า มีลมไหลออกที่ปาก

           แรงกดนวดไล่ลมที่ขาท่อนบน ก็จะเริ่มกระทุ้งดันขึ้นส่วนบนของร่างกาย ทำให้แนวกระเบนเหน็บ เอว แนวหลัง เบาลง
           แรงที่กดนวดไล่ลมที่ขาท่อนบน ยังคงทำให้ลมร้อนไหลออกปลายเท้า และค่อยกระทุ้งการไหลเวียนของลมและพลังงานบริเวณส่วนบนของร่างกาย ไปกระทุ้งลมและพลังงานที่ขัดอยู่บริเวณบ่า ศรีษะ ทำให้ลมที่คั่งค้างอยู่ในลำคอ กะโหลกศรีษะ ได้เคลื่อนไหลออกนอกร่างกายเราได้
           
           อาการหลายๆอาการเช่น ลมออกหู ขัดๆเคืองๆที่กระบอกตา อาการภูมิแพ้หายใจไม่สะดวก การกลืนอาหารไม่ลง กลืนน้ำลายไม่ลงคอ อาการเกร็งค้างที่กราม อาการปวดมึนศรีษะ
         อาการเหล่านี้ล้วนเกิดมาจากการที่ลมและพลังงานไหลเวียนออกนอกร่างกายไม่ได้ พลังงานจึงไปกดทับอวัยวะ ทำให้การทำงานอวัยวะด้อยลง ถ้าเราทำให้ลมเคลื่อนไหลออกนอกร่างกายได้ตามทวาร ออกที่ปาก ออกที่ทวารหนัก ออกที่ทวารเบา ( ช่องคลอด ) ออกที่ตา ออกที่หู ออกตามข้อกระดูก และทำให้ลมเคลื่อนไหลออกตามรูขุมขนทั่วร่างกายได้ พลังงานที่เคยสั่งสมอยู่ ก็จะไหลตามออกไปด้วย อาการเรื้อรังต่างๆก็จะคลาย แล้วหายไป ในที่สุด
         หลังจากที่กดนวดให้พี่สาวไปแล้ว มีลมไหลออกที่ปาก อาการเคี้ยวอาหารไม่ได้มาหลายวันก็หายไป อาการกระบอกตาตึง เกร็ง เบาลงไปเล็กน้อย ถ้าเรากดนวดไล่ลมต่อเนื่องอีกระยะหนึ่ง อาการที่เบ้าตาก็จะคลายออกไปเอง 

                                   27 ตุลาคม 2561

วันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2561

ลมกับพลังงาน ( 9.2 )

ลมกับพลังงาน ( 9.2 )
อาการปวดแปลบเข้าหัวใจ

        มีผู้ป่วยหลายรายที่เคยนวดบำบัดให้ โดยมีอาการเหมือนเป็นโรคหัวใจ อาการเหนื่อยง่าย เวลาขยับจะปวดแปลบเข้ามาที่หัวใจ แต่เมื่อไปตรวจด้วยอุปกรณ์ เครื่องมือทางการแพทย์ MRI ตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ก็ไม่ปรากฎว่ามีอาการผิดปกติของกล้ามเนื้อหัวใจ
                  ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ ..........
         เรากดนวด คลึงที่กล้ามเนื้อ พังผืด ตามแนวเส้น บริเวณร่องกระดูกสันหลังและแนวสะบัก จะทำให้อาการที่เกิดกับหัวใจคลายตัวลง อาการปวดแปลบเข้ามาที่หัวใจ ที่เคยเกิดขึ้นก็จะค่อยๆคลายหายไปเอง ทั้งนี้เนื่องจากแนวเส้นชิดกระดูกสันหลังเกิดการขัดของลม ทำให้เกิดการสั่งสมพลังงาน เมื่อเรากดนวดคลายกล้ามเนื้อ กดลงที่แนวเส้นชิดกระดูกสันหลังบริเวณแนวสะบัก ก็จะทำให้พลังงานที่คั่งค้างอยู่บริเวณท่อนกระดูกสันหลังนั้น คลายออกไปที่ข้อกระดูกสันหลัง ทำให้อาการพองบวม ตึงของแนวเส้นลดลง เมื่ออาการบวม พองของแนวเส้นนี้ลดลงมา แรงกดทับที่เคยกดทับเส้นประสาทไขสันหลังบริเวณช่องอกเบาลง จึงทำให้อาการแปลบที่หัวใจเบาลง และหายไป

        เส้นประสาทไขสันหลัง ออกจากไขสันหลังซึ่งอยู่ในช่องกระดูกสันหลัง ตั้งแต่กระดูกคอ กระดูกส่วนอก และสิ้นสุดที่กระดูกอกส่วนล่าง ทำหน้าที่นำความรู้สึกจากส่วนต่างๆของร่างกาย กลับเข้ามาที่ไขสันหลัง แล้วส่งกลับไปสมอง
       การที่แนวเส้นชิดกระดูกสันหลัง บวมพองขึ้นมา ก็จะไปกดทับเส้นประสาทไขสันหลังส่วนอก ซึ่งนำเอาความรู้สึกของอวัยวะภายในช่องท้อง ให้สะท้อนกลับไปที่สมอง ผ่านทางไขสันหลัง
         อาการแปลบที่เกิดขึ้นกับหัวใจก็เช่นกัน เมื่อเราไปตรวจด้วยอุปกรณ์เครื่องมือทางการแพทย์ ไม่พบว่าเป็นอาการผิดปกติของหัวใจ ของกล้ามเนื้อหัวใจ คลื่นหัวใจปกติ
         แต่เนื่องจากเส้นประสาทไขสันหลังที่นำสัญญาณจากหัวใจ กลับเข้ามาที่ไขสันหลัง โดนแนวเส้นที่พองโตขึ้น มาเบียดมากดทับ เป็นเพราะพลังงานที่สั่งสมอยู่ ไม่คลายตัวออก พลังงานบวมโต พองในแนวเส้น แล้วไปกดทับเส้นประสาทไขสันหลังเส้นนี้ จึงสะท้อนอาการไปที่หัวใจ มีผลทำให้เกิดอาการแปลบขึ้นที่หัวใจ
          เวลาที่เรากดนวด คลึงบริเวณแนวชิดกระดูกสันหลัง ลมที่ขัดอยู่ที่แนวเส้นบริเวณท่อนกระดูกสันหลัง ก็จะคลายตัวไหลออกมาตามข้อกระดูกสันหลังและรูขุมขนบริเวณนั้น จึงทำให้พลังงานไปกดทับเส้นประสาทไขสันหลังลดน้อยลง และค่อยๆหมดไป
          อาการที่แปลบที่หัวใจก็จะหายไปเอง การกดนวดไล่ลม ในท่านอนคว่ำ เราสามารถกระทุ้งทำให้ลมในแนวชิดกระดูกสันหลัง ไหลเวียนออกนอกร่างกายได้ เพราะถ้าเรากดนวดให้ลมและพลังงานไหลร้อนออกที่ข้อเข่า ข้อเท้า ข้อกระดูกเท้า ออกที่ข้อกระดูกกระเบนเหน็บ ข้อกระดูกสันหลัง ออกที่ข้อแขน ข้อมือ ออกที่รอยต่อกะโหลกศรีษะ พลังงานที่สั่งสมอยู่ก็จะค่อยๆคลายตัวออกไปเอง

         อาการเจ็บป่วยสะท้อนของอวัยวะ ที่เส้นประสาทไขสันหลังคู่นั้นๆกำกับอยู่ เมื่อไม่โดนพลังงานไปกดทับ อาการป่วยของอวัยวะนั้นก็จะหายไปเอง

                         22 ตุลาคม 2561

ลมกับพลังงาน ( ตอน 9.1 )

ลมกับพลังงาน ( ตอน 9.1 )
พลังงาน กดทับเส้นประสาทไขสันหลัง

      แนวร่องกระดูกสันหลังฝั่งซ้าย และแนวร่องกระดูกสันหลังฝั่งขวา คือแนวเส้นที่เราใช้ในการกดนวด แนวเส้นนี้พลังงานเริ่มต้นเข้ามาที่ฝ่าเท้า ส้นเท้า น่อง เส้นขาด้านหลังบริเวณก้นย้อย แก้มก้น ก้นกบ ตามแนวเส้นข้างกระดูกสันหลัง ตามแนวร่องสะบักกับกระดูกสันหลัง เส้นคอ ศรีษะ หน้าผาก
    การยืน การเดิน การกระโดด การหกล้มก้นจ้ำเบ้า การหงายหลังหลังฟาดพื้น ล้วนเป็นทิศทางการเข้ามาของพลังงาน ไม่ว่าพลังงานจะเริ่มเข้ามาทางฝ่าเท้า ส้นเท้า ก้นกบ หรือแนวเส้นข้างกระดูกสันหลัง จะเข้ามาที่ตำแหน่งใดก็ตาม เมื่อเข้ามาแล้วจะเก็บสั่งสม และค่อยๆแพร่กระจายไปยังแนวที่ต่อเนื่องกันอยู่  สุดท้ายจะเคลื่อนไปที่ศรีษะ

     แนวเส้นติดกระดูกสันหลังนี้เป็นแนวเส้นที่วิ่งไปตามแนวกระดูกสันหลัง ดังนั้นแนวเส้นนี้จึงมีผลต่ออาการกดทับเส้นประสาทไขสันหลังตลอดทั้งแนว เส้นประสาทไขสันหลังทั้ง31คู่
    บริเวณคอ 8คู่  บริเวณอก 12คู่  บริเวณเอว 5คู่  บริเวณกระเบนเหน็บ 5คู่  บริเวณก้นกบอีก 1คู่ 

      เรารับพลังงานจากด้านล่าง แล้วค่อยๆสั่งสม ดันขึ้นมาที่แนวหลัง พลังงานที่เคลื่อนต่อเนื่องมาจนถึงแนวกระดูกสันหลัง ไปสุดที่แนวไหน ก็จะเก็บสั่งสมพลังงานไว้บริเวณนั้น ทับถมเข้าไป ครั้งแล้วครั้งเล่า

         อย่างที่เคยยกตัวอย่างไว้ ถ้าเรามีอาการปวดไมเกรนที่ข้างซ้าย เส้นคอที่ข้างซ้ายก็จะบวม พอง โตขึ้นมา นั่นคือพลังงานที่สั่งสมเยอะมากจนทำให้แนวเส้นคอด้านซ้ายบวมพองขึ้นมา ในขณะเดียวกันด้านขวาไม่มีอาการไมเกรน แนวเส้นก็เล็กเป็นปกติ
     ดังนั้นพลังงานที่เคลื่อนมาจากด้านล่างฝ่าเท้า จากการกระโดดที่สูงๆ หรือจากการล้มก้นจ้ำเบ้า ก้นกบกระแทกพื้น พลังงานจะเคลื่อนขึ้นไปตามแนวเส้น ไปจนสุดแรง และพลังงานนั้นสั่งสมอยู่ตามแนวเส้นข้างกระดูกสันหลัง อยู่ที่ว่าพลังงานจะไปสุดที่กระดูกสันหลังข้อไหน ก็จะไปกดทับเส้นประสาทไขสันหลังคู่ที่อยู่บริเวณนั้น

         ถ้ากระโดดจากต้นไม้ พลังงานกระทบที่ฝ่าเท้า พลังงานอาจจะขึ้นไปถึงข้อพับหัวเข่า
        ถ้าล้มก้นกระแทก พลังงานกระทบเส้นประสาทไขสันหลังส่วนก้นกบ พลังงานอาจจะสะเทือนไปถึงเส้นประสาทไขสันหลังส่วนอก – ส่วนคอ           
         ถ้ากระโดดจากระเบียงชั้น2  พลังงานกระทบที่ฝ่าเท้า พลังงานอาจจะสะเทือนไปถึงเส้นประสาทไขสันหลังส่วนเอว – ส่วนอก
                ถ้าเราล้มหงายหลัง แผ่นหลังกระแทกพื้นดิน พื้นปูน หรือพื้นน้ำ พลังงานกระทบที่แผ่นหลัง พลังงานอาจจะสะเทือนไปตลอดเส้นประสาทไขสันหลังทั้ง 31คู่ ส่วนก้นกบ –กระเบนเหน็บ - เอว – ส่วนอก -ส่วนคอ

           พลังงานที่สะเทือนเข้ามา จะทำให้แนวเส้นบวม พอง โต ขึ้นมา การที่แนวเส้นพองโตขึ้นมา ก็จะกดทับเส้นประสาทไขสันหลัง ทำให้มีอาการข้างเคียงไปตามอวัยวะที่เส้นประสาทไขสันหลังนั้นๆกำกับอยู่ เช่นถ้ามากดทับเส้นประสาทไขสันหลังส่วนอก ก็จะมีอาการข้างเคียงไปที่อวัยวะในช่องท้อง  ถ้ามากดทับเส้นประสาทไขสันหลังส่วนคอ ก็จะมีอาการข้างเคียงไปที่แขน

            พลังงานที่สะเทือนเข้ามาในร่างกายเรา ก็เหมือนกับระดับน้ำที่ท่วม เอ่อเข้ามาในบ้านคน ถ้าเราไม่พร่องน้ำให้ลดลงไป นานวันเข้า ระดับน้ำก็จะเพิ่มขึ้น และน้ำก็จะเน่าเสีย เป็นคราบตะไคร่น้ำเกาะจนกำแพงเป็นสีเขียว ส่งผลกระทบอย่างอื่นอีกหลายๆอย่าง ถ้าเราทำให้การไหลเวียนของธาตุลมในร่างกายกลับมาเป็นปกติ คือลมสามารถเคลื่อนไหลออกนอกร่างกายเราตามข้อกระดูก ตามรูขุมขนได้ ลมก็จะนำพาพลังงานที่สั่งสมอยู่นั้นออกมาด้วย อาการกดทับเส้นประสาทไขสันหลังก็จะหายไปเอง 
                                                                                   
                                           19 ตุลาคม 2561

วันอังคารที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2561

( ลมกับพลังงาน ตอน 9 )

ลมกับพลังงาน ( ตอน 9 )
เส้นประสาทไขสันหลัง

       เส้นประสาทไขสันหลังคือ เส้นประสาทที่ออกมาจากไขสันหลัง โดยการรวมกันของรากเส้นประสาทด้านหลัง (dorsal root) กับรากเส้นประสาทด้านหน้า (ventral root)
       รากเส้นประสาทด้านหลัง (dorsal root) ประกอบด้วยเซลล์ประสาทรับความรู้สึก ทำหน้าที่นำความรู้สึกจากส่วนต่างๆของร่างกายเข้ามายังไขสันหลัง   
       รากเส้นประสาทด้านหน้า (ventral root) ประกอบด้วยเซลล์ประสาทนำคำสั่ง (motor nerves) ทำหน้าที่นำกระแสประสาทหรือคำสั่งจากไขสันหลังออกไปยังกล้ามเนื้อหรือต่อมต่างๆภายในร่างกาย

    เส้นประสาทไขสันหลังในคนมีทั้งหมด 31 คู่ ประกอบด้วย
   เส้นประสาทไขสันหลังบริเวณคอ (cervical nerves) 8 คู่
   เส้นประสาทไขสันหลัง บริเวณอก (thoracic nerves) 12 คู่
   เส้นประสาทไขสันหลัง บริเวณเอว (lumbar nerves) 5 คู่
   เส้นประสาทไขสันหลัง บริเวณกระเบนเหน็บ (sacral nerves) 5 คู่
    และ เส้นประสาทไขสันหลัง บริเวณกระดูกก้นกบ (coccygeal nerves) อีก 1 คู่

       เส้นประสาทไขสันหลังมีใยประสาทที่ทำหน้าที่แตกต่างกัน 4 ชนิด คือ

   - ใยประสาทนำความรู้สึกที่ผิวหนัง ผนังลำตัว ข้อต่อ และเส้นเอ็น ทำให้เรารู้สึกร้อน เย็น สัมผัสลูบไล้ เจ็บปวด รู้สึกว่าขณะหนึ่งๆ กำลังเดิน ยืน วิ่ง หรือทรงตัวเช่นไร ตัวอย่างเช่น ขณะยืน ความรู้สึกที่ข้อกระดูกสันหลัง ข้อสะโพก ข้อเข่า ข้อเท้า ซึ่งรับน้ำหนักของร่างกาย ทำให้เรารู้ว่าเรากำลังยืนอยู่ เป็นต้น
- ใยประสาทที่นำคำสั่งจากไขสันหลังไปยังกล้ามเนื้อลาย ก่อให้เกิดการเคลื่อนไหวทั้งแบบที่บังคับได้และแบบที่บังคับไม่ได้ ถ้าเซลล์ประสาทนี้ถูกทำลายไป จะเกิดอาการอัมพาตของกล้ามเนื้อตามอวัยวะต่างๆเช่น แขน ขา
 - ใยประสาทชนิดนำกระแสประสาทจากหน่วยรับความรู้สึกของหลอดเลือดและอวัยวะต่างๆที่อยู่ในช่องท้องและช่องทรวงอก ใยประสาทนี้ถูกกระตุ้นเมื่ออวัยวะภายในร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลง เช่น ลำไส้พองตัว หลอดเลือดหดตัว - ใยประสาทเกี่ยวข้องกับระบบประสาทอัตโนมัติ ใยประสาทนี้ไปสิ้นสุดที่กล้ามเนื้อเรียบและต่อมต่างๆภายในร่างกาย เกี่ยวข้องกับการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติ เช่น การเคลื่อนไหวของลำไส้

        การบาดเจ็บของไขสันหลังและเส้นประสาทไขสันหลัง ภยันตรายที่ทำให้กระดูกสันหลังเคลื่อน และอาการบาดเจ็บที่เกิดกับไขสันหลังโดยตรง เป็นต้นว่า กระสุนปืนเจาะไขสันหลัง จะทำให้ไขสันหลังเกิดความเสียหาย ผลที่ตามมามีหลายอย่าง ทั้งนี้ขึ้นกับความรุนแรงของบาดแผล ตลอดจนระดับไขสันหลังที่ได้รับความเสียหาย
          ถ้าไขสันหลังบริเวณคอได้รับความเสียหาย แขนและขาจะเป็นอัมพาต หายใจลำบาก หรือติดขัดทันทีที่เกิดเหตุ แขนและขาจะอ่อนปวกเปียก ความรู้สึกใต้ส่วนที่ได้รับบาดเจ็บจะหมดไป นอกจากนี้ยังไม่สามารถควบคุมการขับถ่ายปัสสาวะได้ เพราะกระแสประสาทที่เชื่อมโยงสมองกับไขสันหลังส่วนที่ต่ำกว่าระดับคอจะขาดการติดต่อกัน เมื่อเวลาผ่านไป อาจเป็นอาทิตย์หรือเดือน อาการอัมพาตที่แขนและขาจะค่อยๆเกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น เนื่องจากไขสันหลังส่วนที่อยู่ต่ำกว่าส่วนที่ได้รับบาดเจ็บจะฟื้นตัวขึ้นเล็กน้อย แขนและขาจะเริ่มตอบสนองต่อสิ่งเร้าได้บ้าง ในบางรายอาจโชคดีถึงขั้นที่ใช้ขาได้ แม้จะเดินกะเผลกก็ตาม
        ถ้าหากส่วนที่บาดเจ็บใต้ระดับคอลงมาเช่นที่กลางหลัง อวัยวะที่ได้รับผลกระทบจะอยู่ที่ขา ความรู้สึกทางเพศหมดไป หมดสมรรถภาพทางเพศ เพราะเส้นประสาทนี้จะอยู่บริเวณตอนล่างของร่างกาย

อ้างอิง
ข้อมูลสื่อ ชื่อไฟล์: 89-008
นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่: 89 เดือน/ปี: กันยายน 2529
คอลัมน์: ร่างกายของเรา

วันอังคารที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2561

ลมกับพลังงาน ( ตอน 8 )

ลมกับพลังงาน ( ตอน 8 )
อาการเส้นตึงทั้งซีก

            อาการป่วยเรื้อรัง อาการที่รักษาไม่ได้ของคนเรา ส่วนมากเป็นการป่วยที่เกิดจากความไม่สมดุลของธาตุลมในร่างกาย ผู้ป่วยหลายคนรับรู้ด้วยตัวเองว่า มีลมแน่นอยู่ในช่องท้อง มีลมวิ่งป่วนอยู่ในร่างกาย หลายคนมีอาการตัวร้อนแต่ไม่มีไข้ บางคนมีอาการหายใจลำบาก กลืนน้ำลายไม่ลง มีอาการเหนื่อยแปลบที่หัวใจ ในขณะที่กล้ามเนื้อหัวใจปกติไม่มีปัญหา

     ผู้ป่วยหลายคนถ้าเขาเรอออกมาได้ อาการแน่น เมื่อยล้าบริเวณคอบ่าไหล่ก็จะเบาลง
    ถ้าเขาสามารถผายลมออกมาได้ ช่องท้อง ก็จะอึดอัดน้อยลง
     เวลาเดินถ้ามีเสียงลั่นที่ข้อเข่า-ข้อเท้า แนวขาเราก็จะเบาขึ้น

       ที่บอกกล่าวมาทั้งหมดนี้ เป็นส่วนหนึ่งของอาการที่เกิดจากการขัดของธาตุลมในร่างกาย ยังมีอีกหลายๆอาการที่เริ่มต้นก็เกิดมาจากปัญหาที่ลมไม่สามารถไหลออกนอกร่างกายได้ ทำให้พลังงานจากภายนอกที่เคยกระทบ และเก็บสั่งสมอยู่ภายในแนวเส้น
     พลังงานเหล่านี้เข้ามาในกายแล้ว แต่พลังงานไม่สามารถเคลื่อนไหลออกไปจากร่างกายเราได้ ยังคงเก็บสั่งสมพลังงานนั้นๆไว้ในแนวเส้น แล้วค่อยๆแผ่พลังงานนั้นไปเก็บที่บริเวณรอบๆแนวเส้นที่พลังงานเคลื่อนเข้ามา ค่อยๆสะสม พอกพูนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เป็นเดือน เป็นปี

     พลังงานถ้าหากทยอยเข้ามาในร่างกาย เราจะไม่ค่อยรู้สึก แต่ถ้าหากเกิดอุบัติเหตุแรงๆ มากระแทกร่างกายเรา ครั้งเดียวจากการกระแทก พลังงานที่สะเทือนเข้าร่างกายเรามาก มากจนบางครั้งทำให้เราเกิดอาการบาดเจ็บขึ้นมาทันที

      ทุกๆอิริยาบทของเรา ทุกๆการก้าวเดิน มีพลังงานเบาๆสะท้อนเข้ามาในร่างกายที่ฝ่าเท้า พลังงานสะเทือนขึ้นมาแค่ข้อเท้า
     ถ้าเรากระโดดลงมาจากต้นไม้ เราอาจจะปวดตึงขึ้นมาถึงแนวหลัง หรือศรีษะ
     ทุกๆการก้าวเดิน มีพลังงานเบาๆสะท้อนเข้ามาในร่างกายที่ฝ่าเท้า พลังงานสะเทือนขึ้นมาแค่ข้อเท้า
    แต่ถ้าเราขาพลิก-ขาแพลง พลังงานจะเข้ามาที่ข้อเท้า ตึงขึ้นมาที่แนวหน้าแข้ง 1,2,3 ขึ้นมาที่แนวหน้าขา แนวข้างขาด้านนอก ตึงขึ้นสีข้าง ใต้รักแร้ ขึ้นไปถึงศรีษะ
     ถ้าเราเครียด พลังงานก็ค่อยๆเคลื่อนไหลลงมาจากศรีษะ ลงมาที่ท้ายทอย เส้นคอ ลงมาสั่งสมที่บ่า-สะบัก
      แต่ถ้าเราเกิดอุบัติเหตุศรีษะกระแทกของแข็ง พลังงานที่เข้ามาอาจจะเคลื่อนไหลผ่านลงมาถึงแนวหลัง-เอว กระเบนเหน็บ แนวข้างขาด้านใน แนวหน้าแข้งด้านใน ตาตุ่มใน สุดท้ายลงมาถึงฝ่าเท้าแนวร่องนิ้วโป้งและนิ้วชี้
     ถ้าเราใช้แขนทำงาน พลังงานก็จะสะเทือนเข้ามาที่ข้อมือ แขนท่อนล่าง รักแร้ สะบัก
    แต่ถ้าเราหกล้มเอามือยันพื้น พลังงานก็จะเคลื่อนผ่านไปแนวนิ้วก้อยจนถึงโคนแขน ผ่านไปที่สะบัก แนวเส้นระหว่างสะบักกับกระดูกสันหลัง
    ถ้าแขนเรามีการกระชาก พลังงานก็จะเคลื่อนผ่านไปแนวนิ้วโป้ง จนถึงโคนแขน ผ่านไปที่แนวไหปลาร้า ผ่านไปถึงแนวหน้าอก บริเวณเต้านม ผ่านไปถึงแนวลิ้นปี่

         พลังงานที่เคลื่อนไหลเข้ามาในร่างกายเรา จะขยับเคลื่อนไปกับการไหลของลมในกาย พลังงานเข้ามาทีละน้อย ร่างกายเราก็จะไม่ค่อยรู้สึก แต่ถ้าเกิดอุบัติเหตุหรือเกิดจากการที่ร่างกายเราหักโหมงานเกินไป เช่น ยกของที่หนักเกิน กระโดดสูงเกิน พลังงานก็จะเข้ามาในร่างกายมากขึ้น เพิ่มขึ้นทุกๆวัน จนถึงจุดที่ร่างกายเรารับพลังงานไม่ไหว เหมือนเขื่อนที่รับน้ำใกล้จะเต็มแล้ว

        กลไกเพื่อรักษาสมดุลของร่างกาย ร่างกายจะค่อยๆคลายพลังงานเหล่านี้ออกมา ด้วยการหาว การจาม การไอ การเรอ การผายลม เพื่อไม่ให้พลังงานภายในร่างกายเราอึดอัดแน่นจนเกินไป
       เมื่อมีการเรอ การผายลมออกมาแล้ว ความกดดัน ความดันของลมหรือพลังงานในร่างกายเราลดลง ร่างกายเราก็จะสบายขึ้น
       พลังงานเมื่อเคลื่อนไหลเข้ามาตามแนวเส้น ลมจะนำพาพลังงานที่สะเทือนเข้ามานี้ให้ไหลเข้าไป ไหลไปตามแนวเส้น จากบนศรีษะเคลื่อนไปปลายเท้า จากปลายเท้าเคลื่อนขึ้นไปถึงศรีษะ เมื่อพลังงานเข้าไปแล้วออกไม่ได้ ก็เกิดการสั่งสมที่แนวเส้น ทับถม พอกพูนเพิ่มขึ้นมา
     
  พลังงานเมื่อขัดอยู่ที่แนวเส้น ทำให้เส้นบวมพองขึ้นมามากกว่าปกติ (เหมือนกรณีเส้นคอจะบวมพองขึ้นมา เมื่อเรามีอาการไมเกรน คอตกหมอน ) วันเวลาผ่านไป ถ้าเรายังไม่ได้บำบัดทำให้ลมเคลื่อนออกนอกร่างกาย พลังงานก็ยังคงคั่งค้างอยู่ในร่างกาย โดยเฉพาะที่แนวเส้น ตามแนวกล้ามเนื้อต่างๆ ตามช่องว่างต่างๆในร่างกาย
       วันใดที่เราเกิดอุบัติเหตุ ล้มกระแทก หรือรถชนกระแทกเข้ามาที่ร่างกายเรา มีพลังงานจำนวนมากวิ่งเข้ามาในแนวเส้นเราที่มีอาการตึงอยู่แล้ว อุบัติเหตุครั้งนั้น ทำให้เรามีความรู้สึกตึงแนวเส้นทั้งซีก ตึงทั้งลำตัวที่โดนกระแทก ตั้งแต่ปลายเท้า ปลายมือ ตึงไปจนถึงศรีษะ
       ที่เป็นเช่นนี้เพราะพลังงานเดิมๆที่สั่งสมไว้มีมากอยู่แล้ว และเราก็ยังไม่ได้นำออกไป เมื่อมีอุบัติเหตุ มีการรับพลังงานจำนวนมากเติมเข้ามาอีก ทำให้แนวเส้นเมื่อรับพลังงานใหม่เข้ามา พลังงานก็เคลื่อนแผ่กระจายไปตามแนวเส้น ทำให้แนวเส้นบวมพองเพิ่มขึ้นมาอีก ความดันของพลังงานที่อยู่ในแนวเส้นก็เพิ่มเติมขึ้นมาก ตลอดแนวตั้งแต่เท้า แขน จนไปถึงศรีษะ จนทำให้มีอาการตึงแข็งในซีกนั้นขยับเขยื้อนลำบาก
       ส่วนอีกซีกหนึ่งที่ไม่โดนพลังงานกระแทกเข้ามา สภาพร่างกายยังปกติอยู่ ทำให้ร่างกายทั้งสองซีกมีอาการตึง หนักของแนวเส้นไม่เท่ากัน

                                        26 กันยายน 2561

วันอังคารที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2561

ลมกับพลังงาน ( ตอน 7 )

ลมกับพลังงาน ( ตอน 7 )
การบำบัดอาการหมอนรองกระดูกเคลื่อนทับเส้นประสาทขา

         ในขณะที่เรากดนวดตามแนวเส้น อย่าง เนิบๆ ช้าๆ การกดนวดนั้นจะสามารถทำให้ลมในแนวเส้น เคลื่อนไหลออกนอกร่างกายได้ ออกตามข้อกระดูก ออกตามทวาร ออกตามรูขุมขนต่างๆที่แนวเส้นนั้นลากผ่าน
         เมื่อภายในร่างกายลมไหลเวียนดี ลมก็จะนำพาพลังงานที่เคยซึมซับเข้ามาในร่างกาย ให้เคลื่อนไหลออกไปกับลมที่ไหลออกนอกกายได้
          เคยสังเกตุไหมว่า เวลาที่เราปวดศรีษะ ไมเกรน เส้นคอข้างที่มีอาการไมเกรนจะบวมขึ้นมา แต่อีกข้างที่ไม่ปวดเส้นคอจะปกติ การที่เส้นคอเราบวมขึ้นมา ก็เนื่องจากการที่แนวเส้นคอ มีปัญหา ลมในแนวเส้นไม่สามารถลากพลังงานที่สั่งสมเข้ามาให้ไหลออกนอกร่างกายไปได้ จึงทำให้แนวเส้นคอนั้นมีพลังงานที่สั่งสมอยู่มาก จึงบวมพองขึ้นมา    ( เหมือนสายดับเพลิงที่เปิดน้ำ ให้ไหลเข้ามาในสาย สายดับเพลิงก็จะตึง แข็ง หนักขึ้นมาทันที ) พลังงานที่อยู่ในแนวเส้นนี้ก็เช่นเดียวกัน

            อาการหมอนรองกระดูกเคลื่อนทับเส้นประสาทขา เป็นอาการของลมทีขัดในแนวเส้น เริ่มมาจากส่วนบนของร่างกาย พลังงานเข้ามาจากส่วนบนของร่างกาย จากท่อนบนลงมาท่อนล่าง มาจากอาการคอบ่าไหล่ ความเครียด นอนไม่พอ อุบัติเหตุที่กระแทกเข้ามาที่ศรีษะ ไหล่ แขน มือ เช่นการทำอาหาร ทำงานบ้าน เล่นกีฬา การวิ่ง การเต้น ยกของหนัก การขับรถ ทำงานหน้าเครื่องคอมพิวเตอร์ การพูดโทรศัพท์นานๆต่อเนื่องกัน ฯลฯ   
           ทุกๆอิริยาบทของการใช้ชีวิตประจำวัน ทุกๆการกระทำของเรามีพลังงานสะเทือนเข้ามาในกายเรา เพียงแต่ว่าพลังงานนี้เมื่อเข้ามาแล้วเคลื่อนออกไปไม่ได้ สั่งสมต่อเนื่อง จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี เป็นหลายๆปี พลังงานที่เข้ามาจากด้านบนร่างกายนี้ จะค่อยๆเคลื่อนไหลมารวมกันที่แนวสะบัก เคลื่อนลงมาตามแนวหลังใต้แนวสะบัก ตัดขวางเข้าเอว ไปที่แนวกระดูกสันหลังเอว พลังงานเคลื่อนผ่านแนวกระเบนเหน็บ ขาหนีบ แนวเส้นข้างขาด้านใน แนวหน้าแข้งด้านใน ฝ่าเท้าแนวร่องระหว่างนิ้วโป้งและนิ้วชี้ นี่คือ 1รอบ ที่พลังงานเคลื่อนไหลลงมาด้านล่าง
         เมื่อพลังงานเคลื่อนลงมาถึงกระดูกสันหลังเอว พลังงานที่อยู่ในแนวเส้น ก็จะทำให้เส้นเลือดนั้นบวม พอง ใหญ่ขึ้นมา ( เหมือนกับเส้นคอ เมื่อเกิดอาการไมเกรน เส้นคอก็จะบวม พอง ใหญ่ขึ้น ) แนวเส้นที่บวมใหญ่ขึ้นมาก็จะไปดันหมอนรองกระดูกเอว ( เป็นเนื้อเยื่อนิ่มๆ) ให้เคลื่อนออกจากแนวกระดูกสันหลังเอว แล้วหมอนรองกระดูกนี้ก็จะไปกดทับเส้นประสาทไขสันหลังที่ไปที่ขา จึงทำให้มีอาการหมอนรองกระดูกเคลื่อนทับเส้นประสาทขา ลักษณะอาการแบ่งเป็น 2ส่วนคือ
   1. อาการที่พลังงานคั่งค้างอยู่ตามแนวเส้น ก็จะเริ่มจากแนวกระดูกสันหลังเอว ผ่านไปกระเบนเหน็บ เส้นข้างขาด้านใน แนวเส้นหน้าแข้งด้านใน แนวเส้นฝ่าเท้าแนวร่องระหว่างนิ้วโป้งและนิ้วชี้ เรากดนวดที่แนวเส้นนี้ เป็นการกดนวดเพื่อให้ลมและพลังงานคลายออกนอกร่างกาย
    2. อาการที่เกิดจากแนวกระดูกสันหลังเอว เส้นประสาทไขสันหลังที่ลากลงไปที่ขา โดนกดทับ ทำให้มีอาการหมอนรองกระดูกเคลื่อนทับเส้นประสาทขา จะมีอาการขัด อาการปวดร้าว หรืออาจมีอาการไฟช็อตลงมาที่สะโพก สลักเพชร ข้อพับเข่าด้านนอก แนวตาตุ่มด้านนอก แนวหลังเท้าบริเวณร่องนิ้วนางกับนิ้วก้อย
      อาการนี้เป็นอาการที่เส้นประสาทขาถูกกดทับ เราจะไม่กดนวดบริเวณที่มีอาการนี้ เพราะถ้าเรากดนวดแนวบริเวณนี้ จะทำให้เส้นประสาทขาช้ำและบาดเจ็บได้ เมื่อเรากดนวดที่แนวเส้นข้างขาด้านใน ( ท่านอนตะแคง ) ลมและพลังงานจะเคลื่อนไหลลงไปออกที่ข้อหัวเข่า ข้อตาตุ่ม ข้อนิ้วเท้า และตามรูขุมขนแนวขาที่กระทุ้งจนเปิดแล้ว พลังงานที่ทำให้แนวเส้นที่กระดูกสันหลังเอวบวมโต ก็จะคลายออก แนวเส้นยุบตัวลง แรงดันที่ไปดันหมอนรองกระดูกให้เคลื่อนไปกดทับเส้นประสาทขาก็น้อยลงไปเรื่อยๆ อาการกดทับที่ไปปรากฎที่แนวเส้นประสาทขาก็จะค่อยๆทุเลาลงไป จนหายเป็นปกติ

จึงเป็นที่มาของการบำบัดอาการด้วยท่านอนตะแคง นวดแนวเส้นข้างขาด้านใน อาการขัดของสะโพก สลักเพชร หายได้โดยไม่ต้องกดนวดที่สะโพกสลักเพชร

                                                                                                           19 กันยายน 2561

วันเสาร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2561

ลมกับพลังงาน ( ตอน 6 )

ลมกับพลังงาน ( ตอน 6 )
การแพร่ การเคลื่อนไหลของพลังงานลม

            การนวดไล่ลม จริงๆแล้วผมอยากจะทำความเข้าใจในลักษณะ ในวิธีการของการบำบัดว่า เป็นการนวดที่เน้น ทำให้ลมในร่างกายมีการเคลื่อนไหล และการเคลื่อนไหลนั้น ไม่ใช่แค่เป็นการทำให้ลมเคลื่อนจากจุดใดจุดหนึ่งของร่างกาย ให้ย้ายไปอยู่อีกจุดหนึ่งของร่างกาย แต่เป็นการเคลื่อนไหลของลมให้ไหลออกนอกร่างกายเรา ตามข้อกระดูกต่างๆ และตามรูขุมขนทั่วร่างกาย
             การนวดไล่ลม เป็นการนวดที่ทำให้ลมในร่างกาย ไปลาก ไปนำพาพลังงานอื่นๆที่เคยปะทะ ซึมซับ และสั่งสมเก็บไว้ในร่างกาย เมื่อลมเคลื่อนไหลออกนอกร่างกายได้ ลมก็จะนำพาพลังงานเหล่านี้ออกไปด้วย

              ลมก็เป็นพลังงานชนิดหนึ่ง ลมไหลเวียนอยู่ภายในแนวเส้น และกระจายอยู่ไปทั่วในร่างกายเรา ลมก็จะเคลื่อนที่ตามแนวเส้นจากที่ๆมีความหนาแน่นมากไปยังที่ๆลมมีความหนาแน่นน้อย เมื่อเรากดนวด กระทุ้งที่แนวเส้น ให้ไปดันลมในแนวเส้น ให้ไหลไปออกตามแนวรูขุมขน พลังงานลมก็จะเคลื่อนไหลออกไปนอกร่างกาย
           เมื่อลมไหลออกนอกร่างกาย ทำให้เกิดความต่างศักย์ของพลังงาน จึงเกิดการเหนี่ยวนำพลังงาน เกิดการแพร่ของพลังงานลมในแนวเส้น จากจุดหรือบริเวณที่มีความหนาแน่นมากกว่า ให้เคลื่อนไหลไปตามแนวเส้น ตามลมที่เคลื่อนไหลอยู่ ไปออกตามข้อกระดูก ออกที่ทวาร ออกที่รูขุมขนตามแนวเส้น
              การแพร่ของพลังงานลมในแนวเส้น จึงเป็นการนำความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาอธิบายความว่า ทำไมเมื่อเรากดนวดไล่ลม ในแนวเส้นข้างขาด้านใน ( ท่านอนตะแคง ) เมื่อเรากดนวดแล้วลมไหลร้อนออกที่หัวเข่า ข้อเท้า วิ่งออกปลายขา วิ่งร้อนออกตามรูขุมขนตามแนวเส้น  ผลที่ได้คือลมและพลังงานที่แน่นอยู่ในแนวเส้นนี้ตั้งแต่ศรีษะ แขน แนวบ่า สะบัก แนวหลังใต้แนวสะบัก แนวหลังใต้แนวสะบัก แนวกระดูกสันหลังเอว ลมและพลังงานในแนวเส้นที่อยู่ส่วนด้านบนร่างกายนี้ ก็จะเคลื่อนไหลลงมาที่แนวเส้นที่เรากดนวดอยู่ แล้วเคลื่อนไหลออก ไปตามข้อกระดูกและรูขุมขนที่ลมได้เคลื่อนไหลร้อนออกไปแล้ว ลมและพลังงานที่สั่งสมที่แนวด้านบนของร่างกายก็ค่อยๆคลายตัวลง

แล้วการแพร่ของพลังงาน ช่วยบำบัดอาการหมอนรองกระดูกเคลื่อนทับเส้นประสาทขา ได้อย่างไร
                                                     
                                    16 กันยายน 2561

วันศุกร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2561

ลมกับพลังงาน ( ตอน 5 )

ลมกับพลังงาน ( ตอน 5 )
การกดนวดให้ลมเคลื่อนออกนอกร่างกาย

      ในสภาวะปกติ รูขุมขนทั่วร่างกาย เป็นที่ๆลมและพลังงานที่เคยกระทบเข้ามาในร่างกาย สามารถเคลื่อนไหลออกนอกร่างกายได้

      เมื่อใดที่ร่างกายเราเกิดอาการลมขัด รูขุมขนใต้ผิวหนังบริเวณแนวเส้นจะปิด ทำให้ลมไหลเวียนออกนอกร่างกายไม่ได้ ก็จะทำให้เรามีสภาพเหมือนลูกโป่งที่เป่าโตเต็มใบ ผิวกายคนเราจะต่างกับลูกโป่งตรงที่ผิวกายเรามีความยืดหยุ่นมาก ลมยิ่งขัดมากเท่าไร ก็จะส่งผลกระทบย้อนกลับมาที่กล้ามเนื้อ ที่อวัยวะในร่างกายเรามากเท่านั้น

      ในสภาวะที่รูขุมขนเราไม่เปิด แนวเส้นบริเวณท่อนกระดูก เป็นบริเวณที่ลมและพลังงานไม่สามารถเคลื่อนออกนอกร่างกายได้ ก็จะมีเพียงข้อกระดูก ที่เชื่อมระหว่างท่อนกระดูกเท่านั้น ที่ลมเคลื่อนไหลออกมาได้
      การที่เรากดนวดที่แนวเส้นท่อนกระดูก จะเกิดแรงไปกระตุ้น กระทุ้งให้ลมที่ขัดอยู่ที่แนวเส้นบริเวณท่อนกระดูก ให้ไหลไปออกตามแนวเส้นที่ข้อกระดูก ที่ปลายมือ ปลายเท้า ไปออกที่ทวารต่างๆ และให้ไปออกที่รูขุมขนบริเวณแนวเส้นที่กดนวด
       จากจุดที่กดนวด เมื่อลมเคลื่อนไหลออกที่ข้อ ออกที่รูขุมขนได้ ความหนาแน่นของลมและพลังงานบริเวณนั้นลดลง ทำให้ลมหรือพลังงานที่อยู่ในแนวด้านลำตัว จะไหลลงมาแทนที่ และไหลออกนอกกายไป

 จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเกิดการแพร่ของพลังงาน                                                           

                       07 กันยายน 2561

วันอังคารที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2561

ลมกับพลังงาน ( ตอน 4 )

ลมกับพลังงาน ( ตอน 4 )
นวดอย่างไร ทำให้ลมเคลื่อนไหลออกจากกาย

            ก่อนจะพูดถึงวิธีการที่จะนวดทำให้ลมเคลื่อนไหลออกนอกร่างกาย ต้องพูดถึงองค์ประกอบโดยรวมเกี่ยวกับลม และพลังงานที่ซึมซับเข้ามาในร่างกายเราก่อน เพราะถ้าเราไม่เข้าใจทิศทาง เส้นทาง ที่ลมจะเคลื่อนในร่างกายเรา เราจะไม่สามารถบำบัดอาการลมขัดในร่างกายได้ 
         การไหลเวียนของลมในร่างกาย มิใช่แค่ ลมไหลเวียนเปลี่ยนจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง แต่จะต้องเคลื่อนไหลเข้าและออกนอกร่างกาย ได้เป็นปกติ
        การไอ จาม หาว เรอ สะอึก อาการลมออกหู การผายลม การถ่ายอุจจาระที่มีลมออกมาด้วย การปัสสาวะที่มีลมออกมาที่ช่องคลอดด้วย  ก็เป็นการคลายออกของลมในร่างกายให้ออกมาตามทวารต่างๆ 
          อาการมีเสียงดังที่ข้อเข่า ข้อมือ หัวไหล่ กระดูกสันหลัง ก็เป็นอาการที่ลมเคลื่อนออกมาตามข้อกระดูกต่างๆ
          อาการขนลุก อาการร้อนวูบวาบก็เป็นการเคลื่อนออกตามรูขุมขนทั่วร่างกาย
           
            การนวดเส้น คือการนวดเส้นที่มีเลือดและลมแล่นอยู่ ดังนั้นลมที่แล่นอยู่ในแนวเส้นก็คือ ลมแล่นอยู่ตามเส้นเลือดต่างๆทั่วร่างกาย
         เส้นเลือดของเรา ปลายจะเปิดก็ต่อเมื่อเข้าไปถึงอวัยวะ ระหว่างข้อกระดูกต่างๆ เส้นเลือดก็จะไม่ขาดช่วง จะลากผ่านตามแนว จากท่อนกระดูกหนึ่ง ผ่านข้อกระดูก แล้วไปอีกท่อนกระดูกหนึ่ง     
        เลือดก็จะไหลผ่านจากท่อนกระดูกหนึ่งไปยังอีกท่อนกระดูกหนึ่ง 
        แต่ลมและพลังงานที่ไหลผ่านตามเส้น เมื่อไหลผ่านท่อนกระดูกหนึ่ง จะเคลื่อนไปออก ที่ข้อกระดูกที่เชื่อมกับท่อนกระดูกท่อนถัดไป ถ้าลมออกที่ข้อกระดูกนี้ได้ ก็จะเกิดเสียงขึ้นที่ข้อกระดูก เหมือนอาการข้อกระดูกเสื่อม
         ดังนั้นหลักการของการกดนวดไล่ลม จึงเป็นการกดนวดลงที่ท่อนกระดูก แรงกดที่ลงไปที่แนวเส้น จะไปกระทุ้งให้เลือดและลมไหลไปตามแนวเส้นได้โดยสะดวก โดยเฉพาะลมในเส้น ก็จะถูกกระทุ้งให้เคลื่อนออกจากแนวท่อนกระดูก ให้ลมเคลื่อนไหลไปออกที่ข้อกระดูก ออกที่ทวาร และออกที่รูขุมขนที่แนวเส้นลากผ่าน

  แล้วการนวดไล่ลมช่วยทำให้ลมที่ขัดอยู่ในแนวเส้น บริเวณท่อนกระดูก ให้ไหลออกนอกร่างกาย ได้อย่างไร

         
                  05 กันยายน 2561

วันจันทร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2561

ลมกับพลังงาน(ตอน3)

ลมกับพลังงาน ( ตอน3 )

           ” นวดไล่ลม “   เป็นส่วนหนึ่งของการนวดแผนไทย เป็นการนวดเพื่อปรับสมดุลของธาตุทั้งสี่ในร่างกายเรา โดยมุ่งหวังผล ปรับสมดุลที่ธาตุลมในร่างกายโดยตรง ทั้งนี้เพราะอาการเจ็บป่วยที่เรื้อรังต่างๆ เป็นเพราะเรายังไม่สามารถปรับการไหลเวียนของธาตุลมในร่างกายให้เป็นปกติ

        ความเข้าใจในปัจจุบัน คำว่าการไหลเวียนของเลือดลม เป็นการเข้าใจว่า การกดนวด การบำบัดต่างๆเป็นการทำให้เลือดลม ไหลเวียนดีขึ้น
        การกดนวดช่วยทำให้กล้ามเนื้อที่แข็งตึง ให้นิ่ม ให้คลายความตึงลง
        การคลึงช่วยคลาย ช่วยสลายพังผืดที่เกาะอยู่ที่กล้ามเนื้อ  ทำให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงกล้ามเนื้อ อวัยวะต่างๆได้ดีขึ้น
         แต่การนวดบำบัดทั่วไป สำหรับธาตุลม เพียงแค่ทำให้ลมในร่างกาย ในแนวเส้น เคลื่อนหนีจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง ลมในร่างกายยังคงคั่งค้างอยู่ภายใน ไม่เคลื่อนไหลออกนอกร่างกาย ลมจึงไม่สามารถนำพาพลังงานที่เคยกระทบเข้ามาในร่างกาย ให้เคลื่อนไหลออกนอกร่างกายเราไปได้ จึงเกิดการสั่งสมพลังงานนี้มากขึ้นเรื่อยๆ
         เราทานอาหาร เราก็ต้องขับถ่ายอุจจาระออกมา
         เราทานน้ำ เราก็ต้องขับถ่ายปัสสาวะออกมา
         เราหายใจเข้าเอาก๊าซออกซิเจนเข้า เราก็ต้องหายใจออกเอาก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา

         ดังนั้นการที่เราเคยซึมซับพลังงานจากภายนอกเข้ามา เราจำเป็นต้องคลายพลังงานเหล่านั้นออกมาด้วย

     การนวดไล่ลม เพียงแค่การกดนวดจะทำให้ลมไหลเวียนออกนอกร่างกาย ตามข้อกระดูกต่างๆ ตามรูขุมขนทั่วร่างกาย ทำให้พลังงานที่เคยสะเทือนเข้ามาในร่างกาย จะเคลื่อนไหลตามลมออกไปด้วย

            ถ้าพลังงานไม่เคลื่อนไหลออกนอกร่างกาย ก็จะเหมือนลูกโป่งที่เป่าจนมีขนาดโตขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งโตมากก็ยิ่งแข็ง ความดันของลมในลูกโป่งก็จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ มากจนผิวลูกโป่งรับไม่ไหว ลูกโป่งก็จะแตก
            ถ้าเราค่อยๆ ปล่อยลมในลูกโป่งให้ไหลออกทีละนิด จนขนาดลูกโป่งลดลงมาเหลือขนาดแค่ครึ่งใบ ความดันของลมภายในลูกโป่งจะลดลง ลูกโป่งก็จะนิ่มลงไม่ตึงแข็งเหมือนตอนแรก
           
การนวดเส้น คือการนวดเส้นที่มีเลือดและลมแล่นอยู่

      ดังนั้นการที่เรากดนวดแล้ว ลมไม่สามารถเคลื่อนไหลออกนอกร่างกาย พลังงานที่เคยซึมซับเข้ามา แล้วสั่งสมอยู่ภายใน พลังงานนั้นจะเคลื่อนไหลออกนอกร่างกายเราไม่ได้เช่นกัน พลังงานก็ยังคงสั่งสมต่อไป
      เคยสังเกตุไหมว่า เวลาที่เรามีอาการปวดศรีษะ ไมเกรน อาการคอตกหมอน เส้นคอเราจะบวม พองโตขึ้น เพราะลมและพลังงานที่อยู่ในแนวเส้นคอนี้ ไหลเวียนออกนอกร่างกายไม่ได้ ทำให้แนวเส้นนั้นโป่งพอง สภาพเหมือนลูกโป่งที่เป่าให้ขนาดโตขึ้น
       แต่อีกข้างที่ไม่มีอาการไมเกรน การไหลเวียนของลมและพลังงานที่แนวเส้นคอ ลมและพลังงานยังสามารถไหลเวียนออกนอกร่างกายได้ แนวเส้นก็จะปกติ ไม่บวมขึ้นมา
       ในแนวทางการนวดไล่ลมนั้น การกดนวดขาข้างใดข้างหนึ่ง เราสามารถเปิดทาง ทำให้ลมไหลเวียนออกนอกร่างกายตามรูขุมขนตลอดแนวเส้น ออกที่ปลายเท้า ปลายมือ และศรีษะได้ เพียงแค่อาศัยการแพร่ของพลังงาน หรือการแพร่ของลมในแนวเส้น ก้จะทำให้พลังงานที่สั่งสมอยู่ภายในร่างกายเรา เคลื่อนไหลออกนอกร่างกายเราได้

         แล้วเราจะทำอย่างไร ที่จะทำให้ลมเคลื่อนไหลออกจากกาย

                                                  03 กันยายน 2561

วันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2561

ลมกับพลังงาน ( ตอน 2 )

ลมกับพลังงาน ( ตอน 2 )

           เป็นคำถามเด็ดที่ชอบถามผู้ป่วยที่มีอาการเกี่ยวกับธาตุลม ลมไม่ไหลเวียนออกนอกกาย โดยถามว่า ขณะที่เรามีอาการเจ็บป่วยนี้ เรารับรู้ หรือมีความรู้สึกว่าร่างกายเรา มีอาการร้อนอยู่ข้างใน ร้อนจนกระทั่งคนที่อยู่ข้างเคียง ยังมีความรู้สึก และรับรู้ว่าในร่างกายเรามีความร้อนมากกว่าปกติ และน่าจะเป็นไข้
            บางคนว่า มีอาการร้อนใน แต่ก็น่าแปลกที่ไม่มีแผลร้อนในในปาก พยายามกินยา กินสมุนไพรเช่นน้ำใบย่านาง ฟ้าทลายโจร  ยาเขียว ยาขม  กินแล้วอาการตัวร้อนก็ไม่ดับลง
             ที่สำคัญ เมื่อทำการวัดไข้ด้วยปรอทวัดไข้  ผลออกมาคือไม่มีไข้ ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น 
               
               ธาตุดินน้ำลมไฟ เป็นธาตุหลักๆของร่างกาย
      ธาตุดิน เราจับต้องได้ เรามองเห็น เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์สามารถตรวจวัดได้ เช่นกล้ามเนื้อ อวัยวะต่างๆ เส้นเลือด ฯลฯ
      ธาตุน้ำ เราจับต้องได้ เรามองเห็น เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์สามารถตรวจวัดได้  เช่น น้ำเลือด น้ำเหลือง ปัสสาวะ ฯลฯ
      ธาตุลม เราจับต้องไม่ได้ เราไม่เห็น  เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ไม่สามารถตรวจวัดได้  เช่น ลมแล่นในแนวเส้น ลมในช่องท้อง ลมในกระโหลกศรีษะ ฯลฯ
      ธาตุไฟ เราจับต้องไม่ได้ เราไม่เห็น  บางกรณีที่เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ไม่สามารถตรวจวัดได้  เช่น ธาตุไฟที่กำเริบขึ้นมาจากการที่ธาตุลมไม่สมดุล ไม่ไหลเวียน  ฯลฯ

          ที่เกริ่นนำมานี้ เป็นเพียงแค่ข้อสังเกตุว่า การที่ธาตุดิน และธาตุน้ำ เป็นธาตุที่เราสัมผัสได้ เห็นได้ การบำบัดรักษากล้ามเนื้อที่อักเสบ หรือบำบัดอาการติดเชื้อในกระแสเลือด ทั้งสองตัวอย่างนี้ คือธาตุดินธาตุน้ำ เมื่อนำปรอทวัดไข้มาทดสอบ ตัวปรอทวัดไข้นี้ก็เป็นวัตถุที่สัมผัสได้ ก็จะสามารถตรวจวัดอุณหภูมิที่สูงขึ้นได้ จนสามารถสรุปได้ว่าผู้ป่วย มีอาการเป็นไข้
           ส่วนในกรณีที่เรามีอาการขัดของลม ลมไม่ไหลเวียนออกนอกร่างกาย จนทำให้พลังงานที่เคยสั่งสมอยู่ภายใน เพิ่มมากขึ้นจนร่างกายเรามีความร้อนเกิดขึ้น บางคนร้อนวูบวาบ ผ่าวๆ ปวดแสบปวดร้อน ร้อนจนกระทั่งไปอาบน้ำแล้วตัวยังไม่หายร้อน และร้อนจนกระทั่งคนรอบข้างยังรู้ว่าร่างกายเราร้อนวูบวาบอยู่ภายใน
            แต่ในกรณีการขัดของลมนี้ ต่อให้ร่างกายเรา จะร้อนผ่าวมากเท่าใด ปรอทวัดไข้ก็ไม่สามารถตรวจวัดความร้อนเกิน 37องศาได้ จึงได้ผลตรวจว่า ปกติ ไม่มีไข้
               ที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากเครื่องไม้เครื่องมือที่เป็นวิทยาศาสตร์ เป็นธาตุดิน ธาตุน้ำ จึงสามารถตรวจวัดธาตุลม ธาตุไฟในร่างกายเราได้

               เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ ไม่สามารถสัมผัส ตรวจวัด บำบัดอาการขัดของธาตุลม และธาตุไฟที่มีปัญหาอยู่ จึงเป็นที่มาของอาการตัวร้อนแต่ไม่มีไข้  เพียงแค่ทำให้ลมไหลออกนอกร่างกายได้ ความร้อนนี้ก็จะค่อยๆดับลงไป ในขณะเวลาที่นวดนั้นเอง   
                                                                                                                  30 สิงหาคม 2561

วันอังคารที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2561

ลมกับพลังงาน ( ตอน1)

ลมกับพลังงาน ( ตอน1 )

           ” นวดไล่ลม “   ผมเริ่มใช้คำว่านวดไล่ลม เมื่อ12ปีที่แล้ว คำนิยามของคำว่า “ นวดไล่ลม “ ของผมในเวลานั้น หมายถึงการกดนวดที่ทำให้ลมไหลร้อน วิ่งออกจากร่างกายเราไปได้ ก็จะทำให้ร่างกายเราเบาสบาย
          ตลอดเวลา 13ปี ที่ใช้การกด นวดไล่ลม บำบัดให้ผู้ป่วย ในอาการต่างๆ จนมีความเข้าใจในความหมายของคำว่า “นวดไล่ลม” มากขึ้น และมีความเข้าใจที่ลึกซึ้งมากขึ้นกว่าเดิมว่า เป็นการกดนวดเพื่อปรับสมดุลของธาตุทั้งสี่ โดยเน้นที่ธาตุลม ทำให้ธาตุลมในร่างกายไหลเวียนเป็นปกติ คือทำให้ลมไหลเวียนเข้าและออกนอกร่างกายเราได้เป็นปกติ  เมื่อลมไหลเวียนออกนอกร่างกายได้ดีขึ้น พลังงานที่เคยซึมซับเข้ามา และได้สั่งสมอยู่ภายในร่างกายเรา ก็จะไหลตามลม ออกนอกร่างกายไปด้วยกัน 

       เวลาที่เรามีอาการเจ็บป่วย เราชอบพูดคำว่าลมเยอะ ลมแน่นท้อง ฯลฯ  ลองมาคิดดู ว่าร่างกายของเราลมเยอะแค่ไหน
        ถ้าเปรียบร่างกายเราคือลูกโปร่ง ถ้าเราเป่าลูกโปร่งให้ใหญ่เต็มใบ ลูกโปร่งจะแข็ง ต้านมือ บีบไม่ลง เป่าลมเข้าไปอีกหน่อยลูกโปร่งก็แตก นั่นแสดงว่าผิวลูกโปร่งรองรับลมภายในได้แค่ขนาดลูกโปร่งโตเต็มใบเท่านั้น ถ้าเพิ่มลมเข้าไป ผิวลูกโปร่งยืดหยุ่นไม่ได้แล้ว ลูกโปร่งจึงแตก
       สำหรับร่างกายคน ลมในร่างกายเรามีไม่มากไปกว่ารูปร่าง ขนาดร่างกายเรา  ผิวกายเรามีความยืดหยุ่นมากกว่าผิวลูกโปร่ง ผิวกายเราก็จะไม่ระเบิด ฉีกขาดเหมือนผิวลูกโปร่ง  ถ้าลมในร่างกายมีมากเกินปกติ ผิวหนังที่ยืดหยุ่นได้ ก็จะขยายตัวออก เราจึงมีความรู้สึกว่าตัวบวมขึ้น หน้าท้องโตขึ้น มีความอึดอัดมากกว่าเมื่อก่อน แต่ลมก็มีขนาดไม่โตเกินกว่าขนาดร่างกายเรา
       ยิ่งลมไหลเวียนออกนอกร่างกายไม่ได้นานเท่าใด ความดันลมและพลังงานที่ขัดอยู่ตามแนวเส้น ในช่องท้อง ในกระโหลกศรีษะ หรือทุกๆอณูของร่างกายที่ธาตุลมขัดอยู่ ก็จะยิ่งมีมากขึ้นเป็นเงาตามตัว ยิ่งนานวันอวัยวะที่โดนลมและพลังงานกดทับก็จะเสียสภาพการทำงาน
        และถ้าเราคลายลมและพลังงานเหล่านี้ให้ออกไปได้ การทำงานของกล้ามเนื้อ และกล้ามเนื้ออวัยวะต่างๆก็จะฟื้นคืนสภาพ กลับมาทำงานได้เหมือนปกติ

                                                 
28 สิงหาคม 2561

วันพฤหัสบดีที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2561

ธาตุลมกับพลังงาน

ธาตุลมกับพลังงาน

          นวดไล่ลม ถ้าอธิบายตามรูปแบบของการนวด เราจะเห็นข้อแตกต่างของการนวดไล่ลม และการบำบัดในแนวทางต่างๆ เพราะการนวดไล่ลมนี้ เป็นการนวดปรับธาตุทั้งสี่ของร่างกายเรา โดยเน้นที่ธาตุลมเป็นหลัก อาการบาดเจ็บ และการเจ็บป่วยเรื้อรังต่างๆในร่างกายเรา ถ้าเราไม่เคยบำบัด ทำให้ธาตุลมไหลเวียนออกนอกร่างกายเรา การบำบัดครั้งนั้นก็ยังไม่สามารถ นำพาพลังงานที่เคยกระทบเข้ามา ให้ไหลออกไปนอกร่างกายเราได้เช่นกัน

        ลมในกายเราไม่ได้มีปริมาณมากเกินกว่าขนาดของตัวเรา
        ลมในกายเรามีมากที่สุดก็แค่ขนาดร่างกายเรา ลมในกายเรามากที่สุดไม่เกินความยืดหยุ่นของผิวหนังเรา

        การนวดเส้น คือการนวดเส้นที่มีเลือดและลมแล่นอยู่ ลมในร่างกายเราเคลื่อนไหลไปตามแนวเส้น ลมเป็นพลังงาน แล้วเมื่อพลังงานจากภายนอกพุ่งกระทบเข้ามาในร่างกาย ลมที่แล่นอยู่ภายในแนวเส้น เป็นเพียงแค่พาหนะ นำพาพลังงานที่กระแทกเข้ามาให้เคลื่อนไหลไปตามแนวเส้น แล้วเก็บสั่งสมไว้ตามแนวเส้น
       พลังงานที่เก็บสั่งสมอยู่ในร่างกายตามแนวเส้น จะเคลื่อนไหลออกนอกร่างกายได้ต่อเมื่อ ลมที่ไหลในแนวเส้นนำพาให้พลังงาน เคลื่อนไหลออกนอกร่างกายตามรูขุมขนได้เป็นปกติ
         คนมีอาการขัดของลมในร่างกาย หรืออีกนัยหนึ่ง คือการที่ลมในร่างกายไหลเวียนไม่ปกติ ลมไม่สามารถไหลเวียนผ่านออกไปตามรูขุมขนต่างๆได้  พลังงานที่กระทบเข้ามาในร่างกายแล้วสั่งสมอยู่ภายใน พลังงานนั้นๆก็ไม่สามารถไหลเวียนผ่านออกไปตามรูขุมขนต่างๆได้เช่นกัน
        จึงเป็นเหตุให้ร่างกายเรา มีความอึดอัด แน่น ร้อนผ่าวๆอยู่ภายใน ร้อนโดยไม่เป็นไข้ อาการต่างๆนี้ถ้าพลังงานไม่สามารถคลายออกได้ จะกี่เดือนกี่ปี ก็จะเหมือนภูเขาไฟที่รอวัน ที่จะระเบิดออกมา

                                                                                  22 สิงหาคม 2561

วันพฤหัสบดีที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2561

ช้ำข้างใน

ช้ำข้างใน

         ความไม่ปกติของธาตุใดธาตุหนึ่งในร่างกาย เมื่อเกิดความไม่สมดุลของธาตุนั้นแล้ว จะบานปลายไปกระทบกับธาตุอื่น ให้เกิดความไม่สมดุลไปด้วย ทำให้ร่างกายเกิดการเจ็บป่วย ธาตุในร่างกายเรา ในสภาวะที่สมดุล ธาตุทั้งสี่ต้องไหลเวียนเข้า-ออก ร่างกายได้  เช่น
      ธาตุดิน เรากินอาหาร เราก็ต้องขับถ่ายอุจจาระออกมา
      ธาตุน้ำ เราดื่มน้ำ เราก็ต้องขับถ่ายปัสสาวะออกมา
      ธาตุลม เราหายใจเข้าทางจมูก เพื่อนำออกซิเจนเข้ามาทางปอด และหายใจออกเพื่อนำคาร์บอนไดออกไซด์ ให้ออกไปนอกร่างกาย
       ธาตุไฟ ในสภาวะปกติอุณหภูมิในร่างกายเรา 37องศา ถ้าเรามีการอักเสบของกล้ามเนื้อ ติดเชื้อในกระแสเลือด อุณหภูมิร่างกายเมื่อมีการเสียสมดุลของธาตุดินและธาตุน้ำ เราสามารถใช้ปรอทวัดไข้ วัดอุณหภูมิที่สูงขึ้นได้ แต่ถ้าเกิดการเสียสมดุลของธาตุลม แล้วธาตุไฟกำเริบขึ้น เราจะรู้สึกร้อนผ่าวๆในร่างกาย แต่ปรอทวัดไข้ไม่สามารถตรวจจับอุณหภูมิที่สูงขึ้นนี้ได้

       ทั้งนี้เพราะธาตุลม เป็นธาตุที่เราเห็นไม่ได้ด้วยตา เครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆ ก็ไม่สามารถทำให้การไหลเวียนของธาตุลมให้กลับมาปกติคือ  ธาตุลมเข้าและออกนอกร่างกายเราได้ตามรูขุมขน ทั่วร่างกาย สำหรับลมหายใจที่ผ่านเข้ามาทางจมูกก็เป็นการนำออกซิเจนให้เข้ามาฟอกเลือดดำที่ปอด และนำคาร์บอนไดออกไซด์ให้ออกไปนอกร่างกายเท่านั้น

       เมื่อกล้ามเนื้อเราแข็งแรง เส้นตึง อาจจะเกิดจากอุบัติเหตุ การชนกระแทก การกระชาก หรือการบาดเจ็บทางร่างกายใดๆ ทำให้การไหลเวียนของลมที่ไหลเข้ามาตามรูขุมขน เข้ามาแล้วไม่สามารถเคลื่อนไหลออกนอกร่างกายตามรูขุมขนได้ สภาวะเช่นนี้ร่างกายเราเหมือนลูกโปร่งที่เป่าจนค่อยๆโต จนใหญ่เต็มใบ ลมในร่างกายก็เหมือนกัน ลมคลายออกมาไม่ได้ จึงบวมเป่งไปทั่วร่างกาย
       ร่างกายเราธาตุดินน้ำลมไฟ ก็มีขนาดที่ไม่โต ไม่ใหญ่เกินขนาดของร่างกาย ธาตุลมในร่างกายก็มีปริมาณเท่าขนาดร่างกายเรา แต่พลังงานที่สะเทือนเข้ามาในร่างกายเรานั้น เข้ามาทุกทิศทุกทาง จากระยางต่างๆ ศรีษะ แขน ขา เข้ามาทางทวารต่างๆ  และเข้ามาตามรูขุมขนทั่วร่างกายเรา พลังงานเข้ามาจากทุกๆอิริยาบท ทุกๆการกระทำของเรา
         ดังนั้นเมื่อธาตุลมในร่างกายเราเป็นเพียงแค่พาหนะ นำพาพลังงานอื่นๆเข้ามาในร่างกาย เมื่อเกิดการขัดของธาตุลม ลมไม่สามารถไหลเวียนออกนอกร่างกาย ตามทวาร ตามรูขุมขนต่างๆ พลังงานนั้นแหละที่เป็นตัวทำให้ธาตุไฟกำเริบ เมื่อสั่งสมพลังงานมากขึ้นเรื่อยๆ จะเกิดความร้อนขึ้นในร่างกาย แต่ความร้อนนี้ไม่สามารถตรวจวัดได้ด้วยปรอทวัดไข้ และเมื่อเรานวดไล่ลม ทำให้ลมที่ขัดอยู่ในร่างกาย ให้สามารถไหลเวียน วิ่งร้อนออกตามรูขุมขนตามแนวเส้นต่างๆได้ พลังงานก็จะเคลื่อนไหลออกนอกร่างกายเรา อาการตัวร้อนลุ่มภายใน ก็จะค่อยๆดับลง ในเวลานั้นเอง
       
      พลังงานเหล่านี้สะเทือนเข้ามาแล้วสั่งสมอยู่ในร่างกาย เมื่อลมไม่ไหลเวียนออกนอกร่างกาย พลังงานก็จะสะสมอยู่ตามแนวเส้น มีผลทำให้แนวเส้นบวมพอง โตขึ้นมา แล้วจะค่อยๆแผ่กระจายไปยังแนวเส้นที่ต่อเนื่องกันอยู่ แผ่ไปยังกล้ามเนื้อ ไปยังอวัยวะต่างๆ ไปกดทับอวัยวะต่างๆทำให้อวัยวะนั้นเสียสภาพการทำงานชั่วคราว อาการร้อนแต่ไม่มีไข้ก็จะเกิดขึ้น
         พลังงานที่กระแทกเข้ามาเมื่อตอนเราเป็นเด็กเวลา 20ปี 30ปีผ่านไป พลังงานที่เข้าไปยังสั่งสมอยู่ พลังงานไม่ได้หายไปไหน ฝังลึกอยู่ภายในแนวเส้น

      อาการที่เรากระโดดจากที่สูงแล้วปวดหลัง เวลา20ปีผ่านไป พลังงานที่เข้าไปก็ยังฝังลึกอยู่
      อาการขาพลิกขาแพลง เคยบวมที่ตาตุ่ม เวลา20ปีผ่านไป พลังงานที่เข้าไปก็ยังอยู่
       อาการรถชน ศรีษะกระแทก ศรีษะบวม ตึง ปวด  เวลา 20ปีผ่านไป พลังงานที่เข้าไปก็ยังฝังลึกอยู่
        อาการล้มก้นกระแทก ปวดขึ้นกลางสันหลัง   เวลา20ปีผ่านไป พลังงานที่เข้าไปก็ยังฝังลึกอยู่   
         อาการลื่นล้ม หลังฟาดพื้น เวลา20ปีผ่านไป พลังงานที่เข้าไปก็ยังฝังลึกอยู่
          อาการคอบ่าไหล่ สะบักจม เวลาผ่านไป 20ปี พลังงานที่เข้าไปก็ยังฝังลึกอยู่

            พลังงานที่กระทบเข้ามาในร่างกาย ธาตุลมในร่างกายเป็นแค่ตัวนำพาพลังงานให้เคลื่อนไหลไป การที่ลมในร่างกายไม่สามารถเคลื่อนไหลออกนอกร่างกายได้ พลังงานที่เข้ามาจึงไม่สามารถเคลื่อนไหลออกไปด้วยเช่นกัน พลังงานที่สั่งสม ทับถมอยู่ในแนวเส้น จึงฝัง อัด ลึกเข้าไปในแนวเส้น นานวันเข้าพลังงานสั่งสมมากเกิน จนแนวเส้นไม่สามารถรับได้ จะเกิดอาการปวดลึกจากข้างบนใต้ผิวหนัง ลงลึกไปถึงแนวเส้นด้านล่างที่พลังงานสั่งสมมาเป็นเวลาสิบๆปี คืออาการปวดเข้ากระดูก หรือปวดลึกๆ หรืออาการช้ำข้างในนั่นเอง
                                                                                                            16 สิงหาคม 2561

วันพฤหัสบดีที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2561

เมื่อหลังกระแทกแผ่นน้ำ

เมื่อหลังกระแทกแผ่นน้ำ       
                       
     ผู้ป่วยชายรายหนึ่ง อายุประมาณ35ปี มาบำบัดด้วยอาการ กลืนอาหารไม่ค่อยได้ หายใจไม่ทั่วท้อง ทานอาหารแล้วไม่ย่อย กรดไหลย้อน  มีอาการเปรี้ยวขมขึ้นมาที่ลำคอ ปวดและเป็นแผลที่กระเพาะอาหาร  จุกเสียดแน่นที่ลิ้นปี่ มีอาการเดินตัวเกร็งแข็ง  บ่า-ไหล่ห่อ นั่งแล้วแอ่นตัวไปข้างหลังไม่ได้ อาการเช่นนี้เริ่มเป็นมาประมาณ1ปี
      จากการสอบถาม ทราบมาว่าไม่เคยได้รับอุบัติเหตุจากการกระโดดจากที่สูง แต่เมื่อตอนเด็กอายุ 13ปี  คือ 22ปีที่ผ่านมา ผู้ป่วยเคยกระโดดน้ำ แล้วเกิดอุบัติเหตุ แผ่นหลังกระแทกกับพื้นน้ำ ทำให้เวลานั้นเกิดอาการปวดหลัง แต่ไม่เคยไปรับการรักษาที่โรงพยาบาล และอาการปวดหลังนี้ก็ยังคงมีมาถึงปัจจุบัน ถึงขนาดว่าเมื่อนั่งขัดสมาธิจะแอ่นหลัง หรือเอนกายไปด้านหลังไม่ได้เลย จะตึงและเจ็บมาก
       แต่เมื่อปีที่แล้วเริ่มมีอาการจุกเสียดที่ลิ้นปี่ ท้องแน่น เริ่มมีอาการกรดไหลย้อน  ทานอาหารแล้วไม่ย่อย  ระยะหลังนี้เมื่อท้องยังอืดอยู่ ทานอาหารใหม่เข้าไปจะมีอาการปวดที่กระเพาะ และเปรี้ยวขมล้นขึ้นมาที่ลำคอ เข้ารับการรักษาอาการกรดไหลย้อนแล้วก็ไม่ดีขึ้น ทำให้ซูบผอมลงมาน้ำหนักลดลงมาหลายกิโล

      เมื่อทราบอาการเบื้องต้น การใช้ชีวิตประจำวันและอุบัติเหตุที่ได้รับ จึงวิเคราะห์ว่าสาเหตุเริ่มต้นของอาการผู้ป่วยนี้ น่าจะเริ่มมาตั้งแต่การที่แผ่นหลังกระทบ ฟาดเข้ากับพื้นน้ำ ซึ่งทำให้เกิดอาการปวดหลังตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา
      ผู้ป่วยไม่มีอาการตะคริวขึ้นที่น่อง อาการโดยรวมเป็นที่เส้นหลังติดกระดูกสันหลัง พลังงานสะท้อนเข้ามาในร่างกายบริเวณแผ่นหลัง จึงสะเทือนเข้าไปในช่องท้อง อาการเรื้อรังจึงเกิดขึ้นบริเวณแนวลำตัว ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ปวดหลังปวดเอว หลังแข็ง เอี้ยวตัวลำบาก ลมแน่นท้อง จุกเสียดที่ลิ้นปี่ หายใจไม่ทั่วท้อง เหนื่อยง่าย อาหารไม่ย่อย ในที่สุดก็มีอาการกรดไหลย้อน
        ผู้ป่วยมีอาการเส้นท้องตึง ระบบการย่อยของกระเพาะอาหารเสียสภาพไป ลมในช่องท้อง (พลังงาน) ห้อมล้อมแล้วไปกดทับอวัยวะในช่องท้อง กระเพาะอาหารก็โดนพลังงานมากดทับ มาบีบด้วย ทำให้หดแล้วขยายตัวไม่ขึ้น พลังงานกลของกระเพาะอาหารเสียสภาพไป การคลุกเคล้าน้ำย่อยและอาหารที่ทานเข้าไปใหม่ก็เสียสภาพไป ทำให้อาหารไม่ย่อย ท้องอืด ระบบการย่อยเสียสภาพชั่วคราวไปทั้งหมด

       เริ่มต้นได้เน้นบำบัด นวดไล่ลมโดยเน้นที่ท่านอนคว่ำ ท่านอนตะแคง และท่านั่ง เป็นหลัก เพราะอาการนี้พลังงานกระแทกเข้ามาที่แผ่นหลัง เมื่อไม่เคยนวดไล่ลม ให้ลมไหลออกนอกร่างกาย พลังงานจึงไม่สามารถเคลื่อนไหลออกมาด้วย เกิดการสั่งสมพลังงานมาตลอดเวลา 22 ปี ตามแนวเส้นหลัง และแนวหลังใต้แนวสะบัก แนวร่องสะบักกับกระดูกสันหลัง
       หลังจากที่เริ่มนวดไล่ลม เริ่มที่เส้นขาด้านหลังท่อนบน เส้นขาด้านหลังท่อนล่าง (น่อง) เส้นข้างขาด้านใน เส้นหน้าแข้งด้านใน
      เรากดนวดไล่ลมในแนวขา เพื่อนำพาลมและพลังงานให้ไหลออกนอกร่างกายที่ข้อหัวเข่า ข้อตาตุ่ม ข้อเท้า ข้อกระดูกเท้า ข้อนิ้วเท้าต่างๆ ให้ลมหรือพลังงานออกที่ทวารหนักทวารเบา และให้ลมและพลังงานไหลออกตามรูขุมขนที่กระทุ้งจนโล่ง จนไหลร้อนออกไปทั่วแนวเส้นขาที่กดนวด
       แล้วมากดนวดไล่ลมที่แนวข้างขาด้านใน และแนวข้างขาด้านนอก ให้ไหลร้อนออกตามข้อ ตามรูขุมขนทั่วแนวเส้นขาที่กดนวด
       นวดในท่านั่ง นวดคอ-บ่า-ไหล่ เพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อปรับธาตุดินและธาตุน้ำ ให้มีความยืดหยุ่น นิ่มลง เลือดและลมจะได้ไหลเวียนดีขึ้น เผื่อให้พลังงานคลายออกที่ปากโดยการหาวหรือเรอ
        กดช่องท้อง รอบๆสะดือ บริเวณจุดเริ่มต้นเส้นประธานสิบ

         ในขณะที่เรากดนวดไล่ลมที่ขาท่อนบนและขาท่อนล่าง เมื่อลมและพลังงานไหลลงไปที่ปลายเท้า ลมและพลังงานจะไหลออกตามรูขุมขน ยิ่งวิ่งร้อนออกมาก รูขุมขนก็ยิ่งถูกกระทุ้งให้เปิดมาก พลังงานที่สั่งสมอยู่ในแนวเส้นก็ทยอยไหลนอกร่างกายเรา พลังงานที่แนวขามีความหนาแน่นน้อยลงไปเรื่อยๆ  อาการตามแนวเส้นขาจะเบาโล่งขึ้น
       ในขณะเดียวกันความหนาแน่นของพลังงานตามแนวเส้นที่อยู่ด้านบน คือแนวหลัง เอว ช่องท้อง บ่า ไหล่ จะเกิดการแพร่ของพลังงาน พลังงานไหลลงไปตามแนวเส้นขาที่กดนวดอยู่ และไหลตามแรงเฉื่อยให้ไปออกตามข้อ ตามรูขุมขนที่พลังงานวิ่งร้อนออก ทำให้แนวหลัง แผ่นหลัง ช่องท้องพลังงานค่อยๆคลายตัวออก บริเวณลำตัวจะเบาลงในระดับหนึ่ง
        ในช่องท้องเมื่อพลังงานเริ่มคลายตัวออก พลังงานไม่มีกำลังพอไปบีบ กดทับอวัยวะ ทำให้อวัยวะในช่องท้องที่เคยเสียสภาพการทำงานก็จะค่อยๆกลับมาทำงานได้ดีขึ้น และเป็นปกติในที่สุด
        ผู้ป่วยมานวดบำบัดอาการทั้งหมด3ครั้งแล้ว มาครั้งแรกอาการแผ่นหลังเบาขึ้น การย่อยอาหารยังไม่ชัดเจน การเอนตัวไปด้านหลังยังไม่ชัดเจน 
       ครั้งที่2หลังบำบัดไป ผู้ป่วยอาการแผ่นหลังเบามากขึ้น อาการจุกเสียดที่ลิ้นปี่น้อยลง การย่อยอาหารเริ่มทานได้แล้ว ลำคอไม่เปรี้ยว กระเพาะอาหารเริ่มย่อยอาหารดีขึ้น อาการกรดไหลย้อนลดลง การเอนตัวไปด้านหลังไปได้มากขึ้นไม่ตึงเจ็บ 
         ครั้งที่3 หลังบำบัดไป อาการโดยรวมดีขึ้นกว่าครั้งที่แล้วอีก
                                                                                                   
10 สิงหาคม 2561

------------
ลองอ่านดูเรื่องนวดครับ ส่งต่อได้ครับ
www.amazingthaimassage.blogspot.com

เบอร์โทร
Dtac 086-775-7333.
True H 083-046-7409

Line ID
  thiti.d.com
  หรือเบอร์โทร 0867757333

FaceBook ----  Thiti
 Suppachokkarnkul

FaceBook Page  นวดไล่ลม

FaceBook Group  นวดไล่ลม

ธิติ ศุภโชติการกุล
เลขที่ 81/494.
มบ.วิเศษสุขนคร ซอย8 ถนนประชาอุทิศ ซอย79
แขวง-เขตทุ่งครุ
 กทม 10140

วันศุกร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2561

นวดไล่ลมกับอาการนิ้วล็อค ( 2 / 2 )

นวดไล่ลมกับอาการนิ้วล็อค ( 2 / 2 )

 การบำบัดอาการนิ้วล็อค นิ้วตึง
       เมื่อเราทราบภาพรวมของอาการขัดของลม อาการที่พลังงานไม่ไหลออกนอกร่างกาย อาการบวมของแนวเส้น  ต่อไปก็จะกล่าวถึงแนวทางและขั้นตอนที่จะใช้นวดบำบัด เราจะนวดบำบัดที่แนวเส้นขาท่อนบนก่อน โดยบำบัดตามอาการดังนี้

1. เมื่ออาการนี้มีจุดเริ่มต้นของอาการมาจากส่วนบนของร่างกาย อาการที่เกิดจากพลังงานเคลื่อนเข้ามาทางศรีษะ คอ บ่า ไหล่ แขน มือ แนวเส้นที่ใช้บำบัดคือท่านอนตะแคง  กดนวดเพื่อให้ลมไหลออกนอกร่างกาย เราจะกดนวดที่แนวข้างขาด้านใน และแนวหน้าแข้งด้านในเป็นหลัก เพื่อที่จะทำให้ลมและพลังงานที่ได้เคยเคลื่อนลงมาสั่งสมตามแนวเส้นนี้ พลังงานยังไม่ได้เคลื่อนออกนอกร่างกายเราไป เรานวดเพื่อให้พลังงานในแนวด้านบนของร่างกาย ไหล เป็นการแพร่ของพลังงาน ให้เคลื่อนไหลออกนอกร่างกาย ไปกับลมที่ไหลออกตามรูขุมขน

2. นวดท่านอนคว่ำ เป็นพลังงานที่เข้ามาทางด้านล่างของร่างกาย จากฝ่าเท้า ส้นเท้า กลางปลีน่อง แก้มก้น แนวเส้นข้างกระดูกสันหลัง ตั้งแต่ก้นกบจนถึงกระดูกคอ และในช่องกระโหลกศรีษะ การกดนวดแนวนี้เพื่อให้พลังงานในแนวเส้นข้างกระดูกสันหลัง ให้เคลื่อนไหลมาออกที่ด้านล่างที่ขา เพื่อลดอาการบวมตึงของแนวเส้น ให้แฟบลงมา มีผลทำให้การกดทับเส้นประสาทแขน และขา น้อยลงไปเรื่อยๆ
3. นวดท่านั่ง เพื่อนวดแนวร่องสะบักและกระดูกสันหลัง  นวดแนวบ่า  เป็นการนวดคลาย เป็นการปรับสมดุลธาตุดิน ธาตุน้ำ ทำให้การไหลเวียนของเลือด-ลมบริเวณแนวร่องสะบัก แนวบ่าไหล่ไหลเวียนดีขึ้น
4. นวดท่านอน นวดแขน
   เส้นแนวนิ้วโป้ง นิ้วกลาง นิ้วชี้ เป็นอาการที่มาจากการใช้มือเป็นหลัก การใช้งานนิ้วมือ ใช้งานอุ้งมือ ใช้งานข้อมือ แขนโดนกระชาก การขว้างของแรงๆ   -----  พลังงานจะเข้ามาสุดที่โคนแขน ด้านหน้า บริเวณไหปลาร้า ผ่านเต้านม ไปถึงกลางแผ่นหน้าอก แนวนี้เป็นแนวที่บำบัดอาการนิ้วตึงแข็ง นิ้วล็อค นิ้วบวมที่นิ้วโป้ง นิ้วชี้ นิ้วกลาง  อาการก้อนลมที่เต้านม  อาการเมื่อยขบที่กราม
       
   เส้นแนวนิ้วก้อย นิ้วนาง เป็นอาการที่เกิดจากพลังงานที่เข้ามาโดยการโดนชน กระแทกที่มือ เช่น หกล้มแล้วใช้มือยันที่พื้น การยกสิ่งของที่หนัก พลังงานจะเข้ามาสุดที่โคนแขน ด้านหลัง แนวสะบัก ไปสิ้นสุด ที่แนวกระดูกสันหลัง
        อาการที่เกิดจากแนวนี้ แบ่งเป็นสองกรณี
   1.อาการที่พลังงานที่กระทบเข้ามาตามแนวเส้นแขน ยังคงสั่งสมอยู่ตามแนวเส้นแขน บ่า สะบัก พลังงานเคลื่อนตัวไปยังไม่ถึงแนวกระดูกสันหลัง
   2.อาการที่พลังงานที่กระทบเข้ามาที่แนวเส้นแขน สั่งสมตามแนวเส้นแขน บ่า สะบัก พลังงานเคลื่อนตัวไปถึงที่แนวกระดูกสันหลังคอ แล้วเกิดการสั่งสมพลังงาน ทำให้แนวเส้นหลัง ตรงกระดูกสันหลังคอ บริเวณที่เส้นประสาทแขนเชื่อมต่อกับไขสันหลัง พลังงานไปสั่งสม โป่งพอง แล้วไปกดทับ ดันให้หมอนรองกระดูกคอ เคลื่อนไปทับเส้นประสาทแขน จนทำให้มีอาการแปลบ ปวดร้าว จนถึงมีอาการไฟช็อต ลงมาที่แนวแขน บริเวณใต้ท้องแขน ข้อศอก จนถึงแนวนิ้วก้อย

          อาการที่เกิดกับ คอ- บ่า-ไหล่-สะบัก-แขน-มือ-นิ้ว เป็นอาการที่เกิดจากส่วนบนของร่างกาย พลังงานจะค่อยๆเคลื่อนผ่านลงไปจนถึงนิ้วเท้า
    เราจึงต้องกดนวดที่ขาท่อนบน ขาท่อนล่าง ในท่านอนตะแคง เพื่อดึงพลังงานที่เคยเคลื่อนลงมาแล้ว และยังคงค้างอยู่ในแนวท่อนขา ให้ไหลออกนอกร่างกาย ตามข้อเข่า ข้อตาตุ่ม ออกตามข้อกระดูกเท้า และออกตามรูขุมขนขาที่เรากระทุ้งเปิดจนโล่งแล้ว จะช่วยบำบัดอาการหมอนรองกระดูกเคลื่อนทับเส้นประสาทขา

      ในท่านอนคว่ำ เพื่อดึงพลังงานที่เคยเคลื่อนลงมาแล้ว และยังคงค้างอยู่ในแนวท่อนขา ให้ไหลออกนอกร่างกาย ตามข้อเข่า ข้อตาตุ่ม ออกตามข้อกระดูกเท้า และออกตามรูขุมขนขาที่เรากระทุ้งเปิดจนโล่งแล้ว จะช่วยบำบัดอาการหมอนรองกระดูกเคลื่อนทับเส้นประสาทแขน

     เมื่อพลังงานสามารถเคลื่อนไหลลงไปออกด้านล่างได้ พลังงานที่ค้างคาอยู่ด้านบนร่างกาย ก็จะเกิดการเคลื่อนตัว เกิดการแพร่ ไหลลงมาแทนที่พลังงานบริเวณที่เรากดนวด  แล้วเกิดแรงเฉื่อยไหลตามพลังงานที่ไหลออกไปก่อน ออกไปตามรูขุมขุนที่เปิดโล่งด้วย
      การแพร่ของพลังงาน ไหลลงมาออกที่ปลายเท้า เป็นการระบายพลังงานที่สั่งสมอยู่ที่แนวเส้นข้างกระดูกสันหลัง จะนำพาพลังงานที่สั่งสมอยู่บริเวณ แนวข้างกระดูกสันหลังเอว แนวเอวตัดขวาง แนวหลังใต้แนวสะบัก และแนวข้างกระดูกสันหลังคอ ให้ไหลมาออกที่ส่วนล่างของร่างกาย  เมื่อพลังงานที่สั่งสมอยู่ด้านบนร่างกายน้อยลง เหมือนกับลูกโปร่งใบใหญ่ที่ค่อยๆปล่อยลมให้ใบเล็กลงมา พลังงานที่เคยสั่งสมอยู่ด้านบนก็จะค่อยๆน้อยลง แนวเส้นก็จะค่อยๆลดอาการบวมตึง การกดทับอวัยวะ กดทับกล้ามเนื้อ การกดทับหมอนรองกระดูกให้เคลื่อนไปทับเส้นประสาทขา หรือแขนก็จะน้อยลง

       การปรับสมดุลธาตุทั้งสี่ เพื่อบำบัดอาการนิ้วล็อค เมื่อเราสามารถนำพลังงานที่สั่งสมอยู่ในแนวเส้นแขน ให้ไหลออกไป โดยอาศัยการแพร่ของพลังงานให้ไหลออกที่ขา อาการบวม ตึง นิ้วงอไม่ได้  เมื่อการสั่งสมพลังงานน้อยลงไปเรื่อยๆ บำบัดไประยะหนึ่ง อาการนิ้วล็อคนิ้วแข็ง ก็จะค่อยๆคลายหายไปเอง