วันอาทิตย์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2561

ไมเกรน เวียนศรีษะ อาการหัวหมุน

          วันนี้เพิ่งเดินทางกลับมาจากจังหวัดชุมพร เป้าหมายหลักครั้งนี้ที่ไป คือได้เวลาที่จะไปนวดบำบัดอาการซ้ำจากครั้งก่อนๆ ให้พระสงฆ์ที่เคยนวดต่อเนื่องกันมา และนวดโยมบางคนที่เคยนวดกันมาบ้างแล้ว ครั้งนี้กลายเป็นว่าต้องเน้นนวดบำบัดให้โยมสีกาที่อุปัฎฐากพระ ที่ระยะหลังมีอาการไมเกรน เวียนศรีษะ จนถึงขั้นหัวหมุน

           ผู้ป่วยท่านนี้ทำงานด้านสาธารณะสุข ก่อนนี้ได้เคยนวดไล่ลมให้บ้างแล้ว เมื่อประมาณ 5-6 วันก่อนที่ผมจะเดินทางไปนวด อาการเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆจนถึงขั้นหัวหมุน และไม่ได้แจ้งอาการให้ผมทราบก่อน กำหนดการเดินทางไปที่ชุมพรนี้ คงต้องมาแก้อาการให้ผู้ป่วยท่านนี้เป็นหลัก
          จากครั้งก่อนๆที่เคยลงไปนวดให้ พลังงานที่สั่งสมอยู่ก็ทยอยคลายขึ้นมาอยู่บริเวณใต้ผิว สำหรับผู้ป่วยท่านนี้ อาการหลักๆคือคอบ่าไหล่ ไมเกรน ปวดมึน เวียนศรีษะ ประกอบกับช่วงนี้งานเยอะ พักผ่อนไม่พอ มีความเครียดกับการทำงาน และเครียดกับงานบ้าน จึงส่งผลกระตุ้นให้อาการรุนแรงขึ้นในหลายวันนี้ จึงต้องเน้นบำบัดให้ผู้ป่วยท่านนี้ เป็นกรณีพิเศษ ตามหลักการคือ คลายพลังงานที่สั่งสมในแนวเส้น ให้ไหลออกนอกกาย ตามรูขุมขน ตามข้อต่างๆ

           จึงเน้นการกดนวดไล่ลม ในท่านอนคว่ำ เพื่อคลายลมหรือคลายพลังงาน ที่มาจากการเดิน การยืนทำงานนานๆ ให้ลมคลายออกที่หัวเข่า ข้อเท้า และที่ปลายเท้า
         
    หลังจากนั้นจึงเน้น กดนวดไล่ลม ในท่านอนตะแคง บริเวณแนวเส้นข้างขาด้านใน  เพื่อคลายลมหรือคลายพลังงาน ที่มาจากด้านบนของร่างกาย อาการปวดมึน เวียนศรีษะ ไมเกรน หัวหมุน ลมแน่นในกระโหลกศรีษะ หนักต้นคอ  มือ-แขนตึง บ่าตึง ปวดหลัง ปวดเอว อาการหมอนรองกระดูกเคลื่อนทับเส้นประสาทขา ขัดสลักเพชร กดนวดแนวนี้เพื่อให้ลมคลายออกที่หัวเข่า ข้อเท้า และที่ปลายเท้า
             เมื่อลมไหลออกข้อเข่า ปลายเท้า ได้ระดับหนึ่ง พลังงานที่อัดแน่นในแนวด้านบนลำตัว คือศรีษะ บ่า หลัง เอว พลังงานแพร่ไหลลงไปตามแนวเส้น แล้วไปออกตามข้อตามแนวขา เมื่อพลังงานด้านบนมีความหนาแน่น ความดันลม ลดลง จึงเริ่มบำบัด แนวร่องบ่า-กระดูกสันหลัง แนวบ่า เปิดประตูลมตามท่อนแขน นวดแขน นวดให้ลมและพลังงานไหลออกที่ปลายแขน
       
       นวดขึ้นต้นคอ นวดกดจุดกำด้น5จุด ที่ฐานกระโหลก นวดไล่คลึงบนหนังศรีษะ ขึ้นไปทั้งศรีษะ เพื่อลากลมและพลังงานให้ไหลตามนิ้วมือขึ้นมา ให้ไปออกบริเวณศรีษะ แล้วจึงไปกดที่กลางกระหม่อมเพื่อเปิดประตูลม ให้ลมไหลออกด้านบนศรีษะ

           หลังจากที่กดนวดขั้นตอนต่างๆผ่านไปแล้ว พลังงานที่เคลื่อนหนีขณะที่เรากดลงที่บ่า พลังงานที่เคลื่อนลงมาที่แนวสะบัก แนวหลังใต้แนวสะบัก แนวเอวตัดขวางเข้ากระดูกสันหลังเอวข้อ 3-4-5 ซึ่งพลังงานนี้จะมีผลไปกด แล้วดันให้หมอนรองกระดูกเคลื่อนตัวไปกดทับเส้นประสาทขา
           จึงต้องมาจบการกดนวดไล่ลมผู้ป่วยนี้ ด้วยท่านอนตะแคง เพื่อกดนวดไล่ลมและพลังงานที่เคลื่อนลงถึงบริเวณเอว ให้ไหลออกข้อต่างๆตามท่อนขา ก็จะเป็นการตัดวงจรที่พลังงานจะเคลื่อนกลับไปยังด้านบนของลำตัว
         
            หลังการนวดบำบัด 2วันต่อเนื่องกัน อาการไมเกรน เวียนศรีษะ อาการหัวหมุน ก็ทุเลาลงไป อาการที่บ่าก็เบาลง อาการที่หลัง เอว และอาการขัดสะโพก-สลักเพชร ก็หายไปโดยที่เราไปต้องไปกดนวดที่สลักเพชร

วันพฤหัสบดีที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2561

หมอนรองกระดูกเคลื่อนทับเส้นประสาทขา

หมอนรองกระดูกเคลื่อนทับเส้นประสาทขา

                วันนี้พูดเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่ง เป็นอาการต่อเนื่องที่มาจากระยาง ทางด้านบนของร่างกาย คือศรีษะ และแขน โดยปกติแล้วพลังงานที่เข้ามาทางด้านบนจะมาสะสมอยู่บริเวณบ่า รักแร้ สะบัก แนวร่องสะบักกับกระดูกสันหลัง ทุกๆแนวเป็นจุดที่ผ่านมารวมกันของพลังงาน ทุกๆอิริยาบท ทุกๆความเครียด ทุกๆเสียงที่ดังสะเทือนมากระทบที่หู  ทุกๆการพักผ่อนที่ไม่พอ ทุกๆครั้งที่เราใช้ศีรษะโหม่งลูกบอล ทุกๆครั้งที่เราตบลูกวอลเล่ย์ ทุกๆครั้งที่โดนแรงสะท้อนกลับมาที่แขนจากการยิงปืน ทุกๆครั้งที่แขนเรากระชาก ทุกๆครั้งที่เราโดนชกที่แขน ทุกๆครั้งที่เราใช้มือกดนวดให้คนอื่น ทุกๆครั้งที่เราใช้นิ้วโป้งในการกดนวดให้คนอื่น ฯลฯ
         ทุกอิริยาบทที่กล่าวมา เป็นการใช้ชีวิตปกติของเรา แต่ก็ยังมีการบาดเจ็บที่เกิดจากอุบัติเหตุ ที่พลังงานก็กระเทือนเข้ามาในกายด้วย เช่น ทุกๆครั้งที่เราล้มแล้วเอาแขนยันพื้น อุบัติเหตุรถชนศีรษะกระแทก แขนกระแทก แขนกระชาก ฯลฯ
          ทั้งหมดนี้ให้เห็นทิศทางของพลังงาน ที่เกิดมาจากระยางส่วนบนของร่างกาย เข้ามาทางศรีษะพลังงานจะมารวมกันที่แนวบ่า และแนวร่องสะบักกับกระดูกสันหลัง และสุดท้ายไปกองรวมกันบริเวณสะบัก
         เข้ามาทางแขนพลังงานจะมารวมกันที่ หัวไหล่ รักแร้ แนวบ่า และแนวร่องสะบักกับกระดูกสันหลัง และสุดท้ายไปกองรวมกันบริเวณสะบัก
          เมื่อพลังงานที่เข้ามาทางด้านบนไม่ว่าจะมาจากศรีษะ หรือแขน ก็จะมารวมกันที่สะบัก แล้วเคลื่อนลงมาด้านล่างร่างกายตามแนวหลังใต้แนวสะบัก ค่อยๆลงมาถึงแนวเอว แล้วพลังงานเคลื่อนตัดขวางเข้าหาแนวกระดูกสันหลัง เอว ข้อ 3-4-5
           ตรงนี้แหละที่เราจะมีความรู้สึกเวลาเราโดนกดนวด  เมื่อเขากดนวดลงที่แนวบ่า บ่าจะเบา แต่เราจะปวดหลังปวดเอว หน่วงๆขึ้นมา ผ่านไป2-3วัน เราก็จะปวดเมื่อยคอบ่าไหล่อีก เนื่องจากพลังงานเคลื่อนไหลกลับไปที่เดิม
           แนวกระดูกสันหลังเป็นเนื้อกระดูก แต่หมอนรองกระดูกมีลักษณะนิ่ม เคลื่อนไหลออกไปจากแนวปกติได้ ไปตามแรงดันของลมหรือพลังงาน ที่ไหลลงมาจากแนวสะบัก ที่มารวมตัวกันบริเวณแนวกระดูกสันหลังเอว จึงดันให้หมอนรองกระดูกเคลื่อนไปทับเส้นประสาทขา จึงทำให้เกิดอาการหมอนรองกระดูกเคลื่อนทับเส้นประสาทขา

               ดังนั้นถ้าเราสามารถนำลมหรือพลังงาน ที่สั่งสมอยู่บริเวณแนวกระดูกสันหลัง เอว นี้ออกไปได้ ก็จะทำให้หมอนรองกระดูกไม่เคลื่อนไปทับเส้นประสาทขา อาการที่เราขัดที่สลักเพชร สะโพก ชาเมื่อยบริเวณพับเข่าด้านนอก  แนวขาด้านหลังติดตาตุ่มนอก ชาบริเวณหลังเท้าบริเวณร่องนิ้วนาง-นิ้วก้อย อาการตามแนวเส้นประสาทขานี้จะหายไปโดยที่เราไม่ต้องไปกดนวดที่แนวเส้นประสาทขาเลย ( ตั้งแต่แนวสะโพกขสลักเพชร ลงมาถึงขา ถึงนิ้วก้อย )

             ในการนวดบำบัด เพียงแค่เรากดนวดท่านอนตะแคง ( เส้นข้างขาด้านใน ) ทำให้ลม หรือพลังงานที่สั่งสมอยู่นี้เคลื่อนไหลออกนอกกาย
             เรากดนวดลงบนบริเวณขาท่อนบน ลมเคลื่อนไหลลงมาทางด้านล่าง วิ่งร้อนออกตามรูขุมขน  ร้อนออกที่หัวเข่า ร้อนออกข้อเท้า ร้อนออกบริเวณข้อกระดูกเท้า  วิ่งร้อนออกปลายนิ้วเท้า
             เมื่อความหนาแน่นของลมบริเวณขาน้อยลง ความหนาแน่นของลมหรือพลังงานที่อยู่ที่เอว หลังใต้แนวสะบัก บ่า แขน ศรีษะ ก็จะค่อยๆไหลลงมาด้านล่างลำตัว เป็นการแพร่ของลม ไหลลงมาที่บริเวณขาท่อนที่โดนกดนวดอยู่
      อาศัยความเฉื่อยของลมที่ไหล ร้อนออกตามรูขุมขน ตามข้อเข่า วิ่งร้อนออกปลายเท้า ก็จะลากเอาลมที่แพร่มาจากด้านบน มาจากเอว ให้ไหลออกตามรูขุมขน ตามข้อเข่า ข้อเท้า ปลายเท้า
         เมื่อเรากดนวดทำให้ลมไหลออกด้านล่างได้มาก พลังงานที่สั่งสมที่เอวก็จะลดลงมาเอง ตามลำดับ จนในที่สุดพลังงานหรือลมที่ไปกดทับหมอนรองกระดูกอ่อนแรงลง แนวเส้นประสาทขาก็จะโดนกดทับน้อยลงไปเรื่อยๆ และไม่กดทับ อาการก็ค่อยๆหายไปได้ในที่สุด

วันพุธที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2561

นวดหาย นวดไม่หาย

นวดหาย นวดไม่หาย

          ก่อนอื่นเราต้องทำความเข้าใจ เกี่ยวกับลักษณะอาการของแนวเส้น ( เลือด ลม ) ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญทำให้การบำบัด ผู้ป่วยแต่ละคน แต่ละอาการให้ผลออกมาได้ผลไม่เหมือนกัน  หมอนวดคนเดียวกัน บำบัดอาการผู้ป่วยแต่ละคน โดยวิธีการนวดเดียวกัน แต่ทำไมผลการนวดบำบัด ให้ผลออกมาที่ต่างกัน
         อาการหนักเบาไม่ได้ขึ้นอยู่กับอายุ เดี๋ยวนี้เด็กหรือวัยรุ่นที่ใช้งานคอมพิวเตอร์ทุกๆวัน ใช้สมาร์ทโฟนเล่นโซเชียลมีเดีย ฯลฯ  ทำให้เกิดอาการออฟฟิตซินโดรม อาการคอบ่าไหล่ อาการหมอนรองกระดูกเคลื่อนทับเส้นประสาทแขน-ขา เดี๋ยวนี้อาการปวดเส้นไม่ได้เกิดกับผู้สูงอายุเท่านั้นแล้ว วัยรุ่นส่วนมากก็เป็นกัน
           อาการหนักเบาไม่ได้ขึ้นอยู่กับอายุ วัยรุ่นบางคนอาการเส้นเข้าขั้นว่าหนักกว่าผู้สูงวัย ที่เป็นอย่างนี้ได้เนื่องจากการตรากตรำทำงานหนักตั้งแต่เด็ก และการที่เคยประสบอุบัติเหตุ ส่วนของร่างกายโดนกระแทก กระชาก โดนชน เช่นโดนรถชน ตกจากที่สูง ล้มก้นกระแทก แตะฟุตบอลแล้วขาพลิกแพลง เมื่อกล้ามเนื้อบาดเจ็บพังผืดจึงเกิดขึ้นมา
           ความเครียด การพักผ่อนไม่พอ อากาศร้อนหรือเย็นมากเกินไป เป็นตัวกระตุ้นทำให้อาการของเส้นที่มีอยู่แล้ว ให้กำเริบหนักขึ้นไปอีก
           ในบางรายที่เคยพบ หลังจากการป่วยแพ้ยา ในการรักษาโดยแพทย์แผนปัจจุบัน ก็กระตุ้นทำให้อาการเส้นกำเริบขึ้นมาได้
            การเจ็บป่วยในร่างกายเรา เราป่วยได้ทุกๆธาตุ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ ธาตุดินคือ อาการที่เกิดกับกล้ามเนื้อที่มีพังผืดมายึด เส้นเลือด กระดูก กล้ามเนื้ออวัยวะ ฯลฯ   ธาตุน้ำคือ อาการที่เกิดกับความเข้มข้นของเลือด น้ำเหลือง ธาตุลมคือ อาการที่เกิดจากลมไม่ไหลเวียนออกนอกกาย อาการขัดของลม  ธาตุไฟคือ อาการที่ร่างกายร้อนแต่ไม่มีไข้  ร่างกายหนาวสั่นโดนอากาศเย็นไม่ค่อยได้
             ธาตุทั้งสี่ มีความสมดุลกัน ทุกๆอิริยาบท ทุกๆอุบัติเหตุ ร่างกายเราสั่งสมพลังงานจากด้านนอกที่สะเทือนเข้ามาในกายเรา โดยลมเป็นพาหนะนำเข้ามา   เราไม่เคยได้บำบัด เพื่อนำพลังงานนี้ออกไป การที่เรานวดไล่ลม เป็นการกระตุ้นเปิดรูขุมขน ทั่วร่างกาย ทำให้ลมสามารถไหลออกตามรูขุมขนตลอดแนวเส้นได้ดีขึ้น ลมส่วนที่ห่างจากรูขุมขน ก็สามารถแพร่ไหลไปออกที่รูขุมขนได้ เมื่อลมไหลเวียนได้ลมก็จะพาพลังงานที่สั่งสมอยู่นี้ให้ค่อยๆออกไป
              เหตุที่ผู้ป่วยแต่ละคนที่ได้รับการบำบัด ด้วยวิธีเดียวกัน แต่ให้ผลไม่เท่ากัน บางคนนวดครั้งเดียวอยู่ได้เป็นเดือนๆจนกว่าจะต้องกลับมานวดอีก บางคนนวดเสร็จ เบาไปหนึ่งสัปดาห์อาการเดิมๆก็ค่อยๆกลับมาจนต้องกลับมานวดอีก ( อาการปวดไม่เข้มข้น รุนแรงเท่าเดิม ) บางคนนวดเสร็จยังไม่เบา ยังเจ็บอยู่ อีก1-2วันต้องกลับมานวดอีก
       การที่นวดแล้วไม่เบาก็เกิดได้จากการที่ร่างกายเรา ได้รับสั่งสมพลังงานเข้าไปมาก เป็นเวลานาน การที่เราไม่เคยนวดบำบัดทำให้ลมในกายไหลเวียนออกนอกกายไป ทำให้พลังงานที่เคยเข้ามาจึงออกไปไม่ได้ จึงมีการสั่งสมอยู่ภายใน เมื่อเราอายุมากขึ้นพลังงานที่สั่งสมอยู่ก็ยิ่งมากขึ้นเงาตามตัว อาการต่างๆที่เรื้อรังจึงแก้ไม่ได้
        และการที่เราบาดเจ็บเรื้อรัง พังผืดที่ปกคลุมกล้ามเนื้อก็จะแผ่หนาขึ้นไปเรื่อยๆ เวลาที่เรา กดนวดไปบริเวณเส้น จึงไม่สามารถทะลุทะลวงให้ผ่านแนวพังผืดไปได้ เราเลยไม่สามารถนวดให้ลึกลงไปถึงแนวเส้น การไหลเวียนของเลือดและลมจึงยังไม่ได้รับการบำบัดให้สำเร็จได้
         เราต้องหมั่นนวดคลายกล้ามเนื้อบริเวณที่พังผืดขึ้นหนา เพราะการที่เรากด คลึง นวดลงบนกล้ามเนื้อ เลือดจะไหลเวียนไปสู่เซลล์กล้ามเนื้อได้ดีขึ้น เลือดแดงจะนำออกซิเจน และสารอาหารไปสู่เซลล์ เลือดดำก็จะนำคาร์บอนไดออกไซด์และของเสียออกนอกเซลล์ ชั้นพังผืดก็จะค่อยๆบางลง ต่อไปการกดนวดที่กล้ามเนื้อก็จะสามารถทะลุทะลวงลงไปที่แนวเส้นได้ดีขึ้น
          ดังนั้นผู้ที่ป่วยเนื่องจากลมขัด เกิดจากการใช้งานปกติ ไม่เรื้อรังนานเกินไป นวดคลายผู้พังผืด พร้อมนวดไล่ลมไปด้วย บางคนนวดแค่ครั้งเดียวอาการที่เรื้อรังก็หายได้
          ที่ป่วยเนื่องจากลมขัด เกิดจากการใช้งานปกติ เรื้อรังนานหลายปี นวดคลายพังผืด พร้อมนวดไล่ลมไปด้วย บางคนนวด4-5ครั้ง อาการที่เรื้อรังก็หายได้
        ที่ป่วยเนื่องจากลมขัด เกิดจากการใช้งานปกติและอุบัติเหตุเรื้อรังไม่นาน นวดคลายพังผืด พร้อมนวดไล่ลมไปด้วย บางคนนวด4-5ครั้ง อาการที่เรื้อรังก็หายได้
         ผู้ป่วยเนื่องจากลมขัด เกิดจากการใช้งานปกติและอุบัติเหตุเรื้อรังนานเป็น10ปี  นวดคลายพังผืด พร้อมนวดไล่ลมไปด้วย บางคนนวด4-5ครั้ง อาการที่เรื้อรังก็หายได้ บางคนนวดเดือนละ2ครั้งเป็นเวลาหลายปี อาการที่เคยหนักก็จะดีขึ้น เบาขึ้นเรื่อยๆ