วันอังคารที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2562

ตึงแนวเส้น ที่เกิดจากการกระแทกจนกระดูกร้าว

นวดไล่ลม-คลายพลังงาน
ตึงแนวเส้น ที่เกิดจากการกระแทกจนกระดูกร้าว

         ผู้ป่วยรายหนึ่ง เป็นญาติธรรมที่รู้จัก และเห็นกันมาหลายปี ครึ่งเดือนที่ผ่านมาเกิดอุบัติเหตุขณะนั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซด์ คือเท้าไปกระแทกรถยนต์ ทำให้กระดูกนิ้วโป้งเท้าซ้ายเกิดอาการร้าว ในเบื้องต้นผู้ป่วยได้เข้าไปรักษาพยาบาลในสถานพยาบาล และได้เข้าเฝือกอ่อนบริเวณแนวนิ้วโป้งซ้ายด้วย การบาดเจ็บครั้งนี้มีผลต่อการเดิน มีอาการตึงเกร็งที่ขาซ้าย
          ถ้าเราวินิจฉัยอาการบาดเจ็บครั้งนี้ ในแง่มุมของลมและพลังงานที่กระแทกเข้ามาในกาย บริเวณนิ้วโป้งเท้า ธาตุลมที่ไหลเวียนในร่างกาย เป็นเพียงแค่พาหนะ นำพาพลังงานที่เกิดจากการกระแทกนั้นให้เคลื่อนไหลเข้ามา เคลื่อนไปตามแนวเส้น จะเข้าไปได้ไกลหรือใกล้ ก็อยู่ที่ความรุนแรงของพลังงานที่เข้ามาปะทะ
          ถ้ากระแทกเบาๆ พลังงานก็เคลื่อนเข้ามาแล้วสั่งสมอยู่ที่บริเวณนิ้วโป้ง
           ถ้ากระแทกแรงขึ้นมาอีกหน่อย พลังงานก็จะเคลื่อนผ่านแนวเส้นบริเวณนิ้วโป้ง ผ่านเข้าไปบริเวณข้อเท้า แล้วเก็บสั่งสมไว้ที่นั่น 
           ถ้ากระแทกแรงขึ้นมาอีกหน่อย พลังงานก็จะเคลื่อนผ่านแนวเส้นบริเวณนิ้วโป้ง ผ่านเข้าไปบริเวณหน้าแข้งด้านนอก หน้าแข้งด้านใน  กลางปลีน่อง ที่หัวเข่า แล้วเก็บสั่งสมไว้ที่นั่น
            ในทุกๆอิริยาบทของเรา ยืน เดิน กระโดด ยกของ มองเห็น ได้ยินเสียง จะมีพลังงานจากภายนอกเคลื่อนไหลเข้ามาในร่างกายเรา โดยเคลื่อนไปกับลมที่แล่นในแนวเส้น
             การนวดเส้นคือ การนวดเส้นที่มีเลือดและลมแล่นอยู่ ดังนั้นถ้าเรากดนวดทำให้ลมในแนวเส้นสามารถเคลื่อนไหลออกนอกร่างกายได้ พลังงานที่เคลื่อนไหลเข้ามาจากการกระแทกที่นิ้วโป้งซ้าย จนทำให้มีอาการตึง เส้นตึงยึดขึ้นไปที่แนวเส้นบริเวณขาท่อนล่าง และบริเวณขาท่อนบน ทำให้เราเดินไม่สะดวก เดินกระเผก
        เมื่อพลังงานกระแทกเข้ามาที่นิ้วโป้ง พลังงานที่เข้ามาทำให้รูขุมขนตามแนวเส้นนั้นๆเกิดการปิด ลมไม่สามารถเคลื่อนไหลออกไปตามรูขุมขนได้ จึงทำให้แนวเส้นบริเวณเข่าลงไปบวมเป่ง เกิดอาการตึงบวมของแนวเส้น ( เหมือนสายดับเพลิงที่เราเปิดน้ำเข้า จนสายดับเพลิงบวม แข็งและหนักขึ้นมา )
              การบำบัดอาการนี้ เป็นการบำบัดปรับธาตุดินน้ำลมไฟ โดยเน้นที่ธาตุลมเป็นหลัก คือต้องกดนวดเพื่อเปิดรูขุมขน บริเวณแนวเส้นทั้งท่านอนคว่ำ ท่านอนหงาย ท่านอนตะแคง เริ่มกดนวดตั้งแต่แนวขาท่อนบน แนวขาท่อนล่าง จนถึงบริเวณตาตุ่ม
            ( เราจะไม่กดนวดที่บริเวณแนวเส้นที่เท้า ที่นิ้วเท้า เพราะการไปกดนวดใกล้บริเวณที่กระแทก อาจจะทำให้อาการร้าวของกระดูกมากขึ้น กล้ามเนื้อก็จะระบมอักเสบมากขึ้น )   
         
              เมื่อเรากดนวดไล่ลม-คลายพลังงาน ที่ขาท่อนบน เราก็จะกดกระทุ้งเปิด ทำให้ลมและพลังงานที่ค้างคาอยู่ในแนวเส้นตั้งแต่ขาหนีบ ก้นย้อย ให้เคลื่อนไหลไปออกที่หัวเข่า 
              เรากดนวดไล่ลม-คลายพลังงาน ที่ขาท่อนล่าง เราก็จะกดกระทุ้งเปิด ทำให้ลมและพลังงานที่ค้างคาอยู่ในแนวเส้นตั้งแต่บริเวณสะบ้าหัวเข่า  ให้เคลื่อนไหลไปออกที่ข้อตาตุ่ม เอ็นร้อยหวาย
              หลังจากกระทุ้งที่ขาท่อนล่างแล้ว เราจึงย้อนกลับ ไปกดนวดไล่ลม-คลายพลังงานที่แนวขาท่อนบนอีก ในทุกๆท่านอน
              ในการกดนวดไล่ลมครั้งหลังๆ เมื่อเรากดนวดที่ขาท่อนบน เราสามารถกดกระทุ้งเปิดรูขุมขน ทำให้ลมและพลังงานเคลื่อนไหลไปออกได้ตลอดแนว ออกที่แนวเส้นขาท่อนล่าง ที่ประตูลมแถวข้อเท้า ที่แนวเส้นกระดูกเท้า ที่แนวเส้นบริเวณนิ้วเท้า ( โดยที่เราไม่ต้องไปกดนวด )
            เมื่อเรากดนวดไล่ลมทำให้ลมเคลื่อนไหลออกนอกร่างกายได้ ลมที่เคลื่อนไหลออกตามรูขุมขน ก็จะเหนี่ยวนำพลังงานที่เข้ามาจากการกระแทกของนิ้วโป้งเท้าให้เคลื่อนไหลออกไปด้วย จึงทำให้แนวเส้นที่เคยบวมพอง เกิดการคลายตัว แฟบลงไป อาการตึงแข็งตามแนวเส้นจึงลดลงไปในขณะนั้นเลย อาการหนักเท้าหนักขา  ก้าวขาลำบากก็คลายลงไปด้วย     
                หลังจากที่กดนวดไล่ลม-คลายพลังงานให้ผู้ป่วยหญิงรายนี้เสร็จ ปรากฏว่าขาและเท้าเบาขึ้น การลงน้ำหนักที่เท้าลงน้ำหนักได้มากขึ้น เดินได้คล่องขึ้น โดยที่เราไม่ได้แตะ ไม่ได้กดนวดที่เท้าที่บาดเจ็บ

                               
    26 มิถุนายน 2562

วันพุธที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2562

ปรับสมดุลธาตุทั้งสี่

นวดไล่ลม-คลายพลังงาน
ปรับสมดุลธาตุทั้งสี่

       ร่างกายเราประกอบด้วยธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ เมื่อใดที่ธาตุใดธาตุหนึ่งเกิดความไม่สมดุล จะมีผลข้างเคียงไปกระทบให้ธาตุอื่นๆเกิดความไม่สมดุลตามไปได้
        เช่นถ้าหากกล้ามเนื้อ ( ธาตุดิน ) มีอาการแข็ง ตึง กล้ามเนื้อแน่นเป็นมัดๆ หรือตะคริวขึ้นที่กลางปลีน่อง เส้นเลือดซึ่งก็เป็นธาตุดิน ก็จะโดนกล้ามเนื้อที่แข็งนั้นกดทับ ทำให้ความยืดหยุ่นของเส้นเลือดเสียสภาพไปชั่วคราว เมื่อความยืดหยุ่นของเส้นเลือดเสียสภาพไป การไหลเวียนของเลือด (ธาตุน้ำ) การไหลเวียนของลม (ธาตุลม)ในแนวเส้น ก็จะเสียสภาพไปเช่นกัน
        เลือดแดง (ออกซิเจน) ที่ได้รับการฟอกที่ปอด หัวใจก็จะสูบฉีดไปทั่วร่างกาย เมื่อความยืดหยุ่นของเส้นเลือดเสียสภาพไปชั่วคราว เลือดแดงจะเคลื่อนไหลไปปลายแขน ปลายขา ศรีษะ ได้น้อยกว่าปกติ ก็จะทำให้เกิดอาการชาที่ปลายมือ ปลายเท้า และเลือดไหลขึ้นไปเลี้ยงศรีษะไม่พอ
       เมื่อความยืดหยุ่นของเส้นเลือดดำเสียสภาพไปชั่วคราว เส้นเลือดดำก็จะนำของเสียในเซลล์ (ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์) กลับไปฟอกที่ปอดได้น้อยกว่าปกติ
        เมื่อเลือดแดงไหลเวียนไปปลายมือ-ปลายเท้า-ศรีษะ ได้ไม่เต็มที่ การขับของเสียในร่างกายก็จะไม่สมบูรณ์ การแลกเปลี่ยนคาร์บอนไดออกไซด์ (เลือดดำ) และออกซิเจน (เลือดแดง) ที่ปอด ก็จะมีคาร์บอนไดออกไซด์มาแลกเปลี่ยนกับออกซิเจนน้อยกว่าสภาวะปกติ ทำให้เลือดมีสภาวะความเป็นกรดสูงกว่าปกติ หินปูน กรดยูริก เลือดมีความเป็นกรดก็คือคำตอบ

      เมื่อรูขุมขนต่างๆในร่างกายเกิดอุดตัน ธาตุลมที่จะต้องไหลเวียนเข้าและออกนอกกาย ตามรูขุมขน ลมไม่สามารถเคลื่อนออกได้ ลมจึงค้างคาอยู่ที่แนวเส้น  ค้างคาอยู่ในช่องท้อง ในกระโหลกศรีษะ เมื่อลมไม่สามารถไหลออกนอกร่างกายได้ พลังงานที่สั่งสมอยู่ภายในร่างกายก็ไม่สามารถไหลออกไปด้วยเช่นกัน พลังงานเมื่อสั่งสมอยู่นานวัน เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ก็จะกดทับกล้ามเนื้อ กดทับอวัยวะต่างๆ กดทับอวัยวะทุกอย่างที่อยู่ในช่องท้อง
       ธาตุลม และพลังงานที่สั่งสมอยู่ภายในร่างกาย เมื่อสั่งสมในช่องท้องทำให้เกิดอาการลมแน่นท้อง ท้องอืด กรดไหลย้อน หายใจเหนื่อย ปัสสาวะบ่อยครั้งแต่กะปริบกะปรอย หายใจไม่ทั่วท้อง
       เราหายใจออกเพื่อขับคาร์บอนไดออกไซด์ให้ออกนอกร่างกาย แล้วหายใจเข้าเพื่อนำออกซิเจนเข้ามาในปอด
       ขณะที่เราหายใจออกปอดจะแฟบ ขนาดของปอดเล็กลง เมื่อปอดโดนลมและพลังงานที่สั่งสมอยู่ในช่องท้อง ห้อมล้อม จะกดทับ บีบ ทำให้ปอดพองขยายขึ้นมาเป็นปกติไม่ได้ การหายใจเข้าเอาออกซิเจนเข้ามาในปอดจะมีออกซิเจนเข้ามาในร่างกายน้อยกว่าปกติ ทำให้สมดุลการแลกเปลี่ยนคาร์บอนไดออกไซด์ และออกซิเจนเสียไป
        เมื่อการหายใจไม่ปกติ การทำงานของปอดไม่ปกติ สมดุลการแลกเปลี่ยนกาซของเลือดดำและเลือดแดงเสียไป ทำให้เลือดมีความเป็นกรด อาการที่เกี่ยวกับ หินปูน กรดยูริก ฯลฯ ก็จะเกิดขึ้น
       เมื่อเราปรับสมดุลให้การการไหลเวียนเลือดและลม ให้กลับมาปกติ หายใจเอาออกซิเจนเข้ามาได้เต็มปอด เมื่อเลือดมีความเป็นกรดลดลง อาการป่วยที่เกิดขึ้นก็จะทุเลาและค่อยๆหายไปในที่สุด
                   
             20 มิถุนายน 2562