วันจันทร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

นวดไล่ลม นวดคลายพลังงาน ( 2/2 )

นวดไล่ลม นวดคลายพลังงาน ( 2/2 )

        เรื่องพลังงานที่ซึมซับและสั่งสมอยู่ภายในร่างกายเรา ถ้าเป็นวิชาคณิตศาสตร์ ก็เป็นสมการที่ซ้อนสมการอีกทีหนึ่ง เพราะถ้าเราไม่สามารถทำให้ลมไหลเคลื่อนออกนอกร่างกายได้ เราก็ไม่สามารถนำพลังงานที่สั่งสมภายในให้เคลื่อนไหลออกนอกร่างกายได้
       ทั้งลมและพลังงาน ในร่างกายเรามองไม่เห็น แต่ผู้ป่วยที่มีอาการจะสัมผัสรู้ถึงความไม่ปกติของอาการป่วย บอกกล่าวอาการที่เป็นออกมา บางครั้งผู้ที่จะบำบัดไม่เข้าใจ สัมผัสถึงอาการไม่ได้ จึงไม่สามารถบำบัดอาการให้ลุล่วงไป

          มีกรณีตัวอย่าง เป็นผู้ป่วยเก่าที่เคยนวดบำบัดมาหลายปีแล้ว ไม่น่าจะต่ำกว่า 6 ปี ผู้ป่วยเป็นหญิงวัยกลางคน อยู่แถวพุทธมณฑล สาย3 มีอาการป่วยเรื้อรัง เนื่องจากอุบัติเหตุ รถชนกัน จนตัวผู้ป่วยศรีษะไปกระแทกกระจกหน้ารถ หลังจากที่รักษาอาการบาดเจ็บกล้ามเนื้อ และอาการฟกช้ำจนหายไป จะมีอาการตึงรั้งไปทั้งซีกของร่างกายซีกขวามือ มีอาการตึงรั้งภายในแนวเส้นตั้งแต่ศรีษะจนถึงปลายเท้าตลอดซีกขวามือ
          แต่ร่างกายซีกซ้ายมือ อาการตึงรั้งทั้งซีกไม่มี 
    หลังจากที่ได้บำบัด นวดไล่ลม ทำให้ลมเคลื่อนไหลออกนอกร่างกาย อาการตึงรั้งด้านขวา ค่อยๆลดลง จนหายไปในที่สุด ร่างกายซีกซ้ายและซีกขวาเบาเท่ากัน

      สำหรับผู้ป่วยรายนี้ เป็นกรณีศึกษา และเป็นกรณีที่แสดงให้เห็นว่า พลังงานที่เข้าไปในร่างกาย เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราเจ็บไข้ได้ป่วย
      เริ่มแรกผู้ป่วย นวดสัปดาห์ละ 1 ครั้ง เป็นเวลาเกือบปี จนอาการค่อยๆทุเลาลง  ค่อยๆห่างออกเป็น 1เดือนนวด1ครั้ง จนในปัจจุบัน ผู้ป่วยทิ้งช่วงการนวดได้ประมาณ 1 ปี ต่อ1 ครั้ง
       เป็นกรณีศึกษา ให้เห็นที่มาและที่ไปของอาการผู้ป่วยรายนี้  อาการเริ่มต้นที่เป็นสาเหตุให้ไปนวดก็คือการถูกกระแทกที่ศรีษะ มีอาการตึงรั้งไปทั้งซีกของร่างกายซีกขวามือ มีอาการตึงรั้งภายในแนวเส้นตั้งแต่ศรีษะจนถึงปลายเท้าตลอดซีกขวามือ
       บำบัดได้จนหายเป็นปกติ อาการตึงรั้งทั้งซีกขวาหายไป จนร่างกายซีกขวาและซ้ายมีความตึง รั้งเท่ากัน การนวดก็ทิ้งช่วงห่างออกมาเป็นหลายเดือนต่อการนวด1ครั้ง

        เช้าวันหนึ่ง ผู้ป่วยได้โทรมาปรึกษาว่า ก่อนหน้านี้จนถึง 2-3 วันที่ผ่านมา ร่างกายยังมีสภาวะปกติ ไม่มีอาการปวด อาการเดิมๆที่เคยตึงตลอดซีกขวาก็ไม่มี ปรากฎว่าตื่นนอนเช้าวันนี้มีอาการปวดระบม บริเวณหน้าผากด้านซ้ายมือ ปวดเหมือนจะระเบิด แต่บริเวณที่ปวดนี้ไม่มีอาการบวมออกมา จึงปรึกษาว่าจะต้องนวดครั้งต่อไปแล้วหรือ อาการนี้เป็นเพราะอะไร ผู้ป่วยได้แจ้งข้อมูลให้ทราบเบื้องต้นเพื่อวิเคราะห์อาการดังนี้

- เมื่อ 3 ปีก่อนเคยได้รับอุบัติเหตุ เอื้อมมือไปหยิบของบนหลังตู้ พระที่หล่อด้วยเลซิ่น หล่นใส่ที่กลางหน้าผากซ้าย ( คือบริเวณที่ปวดในขณะนี้ )
- ได้รับการรักษาโดยแพทย์ อาการบวม ปวดจากการโดนพระเลซิ่นหล่นใส่ รักษาไปประมาณ 1เดือน อาการปวดบวม นั้นก็หายไป แต่มีอาการคันอยู่บริเวณที่โดนเจาะ อาการคันนั้นเหมือนมีมดเดินอยู่ใต้ผิวหนัง กินยา ทายาอะไรก็ไม่หาย
- ไม่มีอาการปวด แต่มีอาการคันใต้ผิวที่โดนเจาะตลอดทั้ง 3 ปี มีอาการทุกวัน จนถึงวันนี้ที่กลับมามีอาการปวดที่หน้าผากซ้าย   
     ซึ่งผมได้แจ้งว่า ให้รอดูอาการ 1 วัน ถ้าหากวันรุ่งขึ้นยังมีอาการอยู่ ก็คงต้องนวดแล้ว อาจจะถึงเวลาที่จะต้องนวด แต่ถ้าพรุ่งนี้ไม่มีอาการ ก็ไม่ต้องนวด
     
       ปรากฎว่าในวันรุ่งขึ้น
- อาการปวดหายไป ทั้งๆที่เมื่อวานปวดมากๆ
- อาการคันที่อยู่ใต้ผิว บริเวณที่โดนพระเลซิ่นหล่นใส่ ที่คันต่อเนื่องมา3ปี ก็หายไปด้วยในเช้าวันนี้     

 จึงเป็นที่มาของการอธิบาย การที่เรานวดทำให้ลมเคลื่อนไหลออกนอกกาย ลมจะพาพลังงานที่เคยกระแทกเข้ามาให้ออกไป พร้อมกับลมที่ไหลออก
- ทุกครั้งที่ได้ไปนวดบำบัด จะมีการนวดไล่ลม ที่แนวขาทุกครั้ง
- วันที่พระเลซิ่นหล่นใส่กลางหน้าผากซ้าย เมื่อ3ปีก่อน เป็นวันที่พลังงานเคลื่อนเข้ามาจากการกระแทก เมื่อรักษาอาการปวดบวมจนหายแล้ว ยังมีอาการคันใต้ผิวตลอด3ปีต่อมา จึงเป็นร่องรอยให้เห็นถึงพลังงานที่เข้าไปแล้วยังคงอยู่ภายใน 
- วันที่อาการปวดกลับมา แต่ไม่มีอาการบวม เป็นวันที่พลังงานที่สั่งสมอยู่ได้คลายออกมาใต้ผิวหนัง บริเวณหน้าผากซ้าย เพื่อที่จะไหลออกนอกกายพร้อมลมที่จะเคลื่อนออก
- วันรุ่งขึ้นไม่มีอาการปวดที่หน้าผากซ้ายแล้ว ทั้งๆที่เมื่อวานไม่ได้มีการนวดบำบัดเลย และที่สำคัญอาการคันใต้ผิว ที่เคยเป็นมาตลอด 3ปี ก็หายไปด้วย หายไปตั้งแต่วันนั้นจนถึงปัจจุบันนี้

วันเสาร์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

นวดไล่ลม นวดคลายพลังงาน (1/2 )

นวดไล่ลม นวดคลายพลังงาน (1/2 )

        ในเพจของนวดไล่ลม จะเห็นว่าผมเน้นถึงพลังงานที่กระทบเข้ามาในร่างกาย และพลังงานนั้นๆ ไม่สามารถเคลื่อนไหลออกนอกร่างกายเราได้ จึงเกิดการสั่งสมอยู่ในร่างกาย เพียงแค่เราทำให้ลมในร่างกายเราเคลื่อน ไหลออกนอกร่างกายเราได้ ตามรูขุมขน ตามข้อกระดูก ตามทวารต่างๆ ก็จะนำพาพลังงานที่สั่งสมอยู่นั้นออกไปนอกร่างกายได้

          ที่ต้องบอกกล่าวในเรื่องพลังงานนี้ เพราะว่าเป็นสิ่งที่เราไม่เห็นด้วยตา แต่คนที่มีอาการจะรู้ว่ามีอาการลมแน่นในร่างกาย  ปกติแล้วไม่มีการกล่าวถึง แต่พลังงานที่กระทบเข้ามานี้เป็นสาเหตุหลักๆที่ทำให้เราป่วยเรื้อรัง หาสาเหตุไม่เจอ  ถ้าเราไม่เคยบำบัดทำให้พลังงานที่กระทบเข้ามาให้ไหลออกนอกร่างกายไป ก็จะเกิดอาการป่วยเรื้อรัง อาการปวดลึกๆ อาการเหมือนปวดในกระดูก อาการตัวร้อนแต่ไม่มีไข้

            การนวดไล่ลม เป็นการนวดปรับธาตุทั้งสี่ในร่างกายเรา คือธาตุดิน-น้ำ-ลม-ไฟ โดยเน้นปรับที่ธาตุลม เป็นหลัก
             การนวดทั่วไป นวดแก้อาการ การฝังเข็ม การตอกเส้น การจัดกระดูก และการบำบัดในวิธีการต่างๆ เป็นการบำบัดธาตุดิน ธาตุน้ำ เป็นหลัก  ส่วนธาตุลม เพียงแค่มีการเคลื่อนไหลจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งในร่างกายเราเท่านั้น ยังไม่ได้มีการเคลื่อนไหลออกนอกกาย พลังงานที่กระทบเข้ามาในร่างกายจึงยังคงสั่งสมอยู่ภายใน
               เมื่อเราบำบัดพลังงานที่กระทบเข้ามาให้ออกไปไม่ได้ นานวันเข้า ธาตุไฟในร่างกายเรากำเริบขึ้น ทำให้เรามีอาการร้อน ปวดแสบปวดร้อน ร้อนวูบวาบ
     บางคนอาการร้อนในกายนี้แผ่กระจายจนคนรอบข้างสัมผัสได้ และเมื่อวัดไข้ด้วยปรอทวัดไข้อุณหภูมิร่างกายเราปกติ ไม่มีไข้ ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น

     ที่เป็นเช่นนี้ เพราะว่าความร้อนที่เราสัมผัสได้คือความร้อนที่เกิดจากธาตุลมที่ไม่ไหลเวียน พลังงานออกนอกร่างกายไม่ได้ สั่งสมมากขึ้น ธาตุไฟจึงกำเริบขึ้นมา จึงเกิดความร้อนขึ้นภายในร่างกาย
    ปรอทวัดไข้นั้นสามารถตรวจวัดได้แค่ธาตุดินธาตุน้ำที่ไม่สมดุลเท่านั้น ( กล้ามเนื้ออักเสบ เลือดติดเชื้อ ) เมื่อนำไปตรวจวัดอาการขัดของธาตุลมจึงไม่สามารถตรวจวัดได้ เพราะปรอทวัดไข้สัมผัสธาตุลมไม่ได้

        เราลองดูนึกว่าทุกๆอิริยาบถของเรา ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ  ทุกๆการกระทำ การเคลื่อนไหว จะมีพลังงานเข้ามาในกายเรา ทุกๆสัมผัส จากทุกก้าวที่เราเดิน ทุกครั้งที่เรากระโดดจากที่สูง จากการที่ถูกรถชนกระแทก ทุกๆครั้งที่เราใช้สายตาในการมองจอมอนิเตอร์ ( พลังงานแสง ) ทุกๆครั้งที่เราได้ยินเสียง ( พลังงานเสียง )  ทุกอิริยาบถร่างกายเราจะรับพลังงานจากภายนอกเข้ามาตลอด

            ถ้าหูอื้อ มีเสียงลมออกหู ลองนึกดูว่าหูของคุณเคยโดนกระทบอย่างแรงไหม คุณอยู่ในที่ๆเสียงดังมากๆตลอดเวลาเป็นเวลาหลายๆปี หรือคุณใช้อุปกรณ์หูฟังเสียบที่หูตลอดเวลา
           เวลาเรายกของหนัก เราจะปวดเมื่อยหลัง เอว บางคนปวดลงขา บางคนปวดร้าวจนไฟช็อตลงขา 
            เคยขาพลิก ขาแพลง รักษาอาการบวม ปวด จนอาการขาแพลงนั้นหายเป็นเวลาสิบปีแล้ว แต่บางครั้งยังมีอาการปวดแปลบๆภายในข้อตาตุ่มนั้น
            เคยกระโดดจากต้นไม้ หรือที่สูง จนมีอาการปวดเข่า ปวดเอว ปวดหลัง เรารักษาอาการบวม อาการปวดจนหายเป็นปกติแล้ว เป็นสิบๆปี แต่เรายังมีความรู้สึกตึง แน่น ไม่เบาตรงที่เราเคยบาดเจ็บ
             เคยถูกวัตถุหล่นใส่ศรีษะ ผ่านไป 3 ปี อาการปวด อาการบวม หายไปแล้ว  แต่ยังคงมีอาการคันเหมือนมดไต่ อยู่ใต้ผิวหนังที่เราเคยโดนกระแทก

              ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น

วันอาทิตย์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

ทำความเข้าใจก่อนจะบำบัดธาตุทั้งสี่

ทำความเข้าใจก่อนจะบำบัดธาตุทั้งสี่

        อาการเจ็บป่วยที่เกิดขึ้น เนื่องจากการใช้งานอวัยวะตามปกตินิสัยของเรา ทุกๆการใช้งานอวัยวะ จะมีพลังงานด้านนอกเคลื่อนไหลเข้ามาในร่างกายเรา พลังงานที่เข้ามานี้จะเคลื่อนไหลเข้ามาในร่างกายเราโดยอาศัยการเคลื่อนไหลของลม  ที่แล่นอยู่ในแนวเส้นของเราอยู่แล้ว (ธาตุลม ก็เป็นพลังงานชนิดหนึ่ง )
         อีกทางหนึ่งเมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้นกับร่างกายเราโดยการกระแทก การกระชากการสะเทือน หรือมีวัตถุมาปะทะที่ร่างกายเรา พลังงานภายนอกก็จะเคลื่อนเข้ามาในร่างกายเรา เคลื่อนผ่านไปตามแนวเส้น แพร่กระจายแผ่ออกไปรอบๆแนวเส้นนั้น
       
         จากที่เคยกล่าวมาแล้ว การเจ็บป่วยของร่างกายเราเกิดจากความไม่สมดุลของธาตุทั้งสี่ คือธาตุดินน้ำลมไฟ การที่เราเคลื่อนไหวใช้งานอวัยวะ เช่น แขน ข้อมือ มือ นิ้วมือ กล้ามเนื้ออวัยวะนั้นๆก็จะแข็งแรง เมื่อกล้ามเนื้อแข็งแรง กล้ามเนื้อแน่นเป็นมัดๆ การไหลเวียนของเลือดในเส้นเลือดที่ฝังตัวอยู่ในกล้ามเนื้อที่แข็งแรง ทั้งเลือดดำและเลือดแดง ก็จะโดนกระทบ
         การไหลเวียนของเลือดแดง ไปยังอวัยวะส่วนปลายของระยางก็จะด้อยสภาพลงไป
          การไหลเวียนกลับของเลือดดำ จากส่วนปลายของระยางที่จะไหลกลับไปฟอกที่ปอด ก็ด้อยสภาพลงไปเช่นกัน
        ทั้งนี้เนื่องจากกล้ามเนื้อที่แข็งแรง เส้นเลือดที่ฝังตัวอยู่ในกล้ามเนื้อจะถูกกล้ามเนื้อที่แข็งแน่นกดทับ บีบทำให้เส้นเลือดเสียความยืดหยุ่น การบีบรัดตัวของเส้นเลือด หดตัวแล้วขยายไม่ขึ้น ทำให้เลือดแดงจะไหลไปส่วนปลายระยางก็ไม่เต็มที่ จึงทำให้เกิดการชา เลือดแดงส่งไปเลี้ยงศีรษะ มือ เท้า ไม่พอ 
       เลือดดำก็ไหลจากปลายระยางจะไหลกลับไปฟอกที่ปอด เลือดดำไหลผ่านกล้ามเนื้อที่แข็งตึงได้ไม่สะดวก ทำให้ของเสีย รวมทั้งคาร์บอนไดออกไซด์ ก็จะตกค้าง

          พลังงานจากภายนอกเข้ามาในร่างกาย ทำให้สมดุลของธาตุลมในร่างกายเราเสียไป พลังงานที่เข้ามาจะเคลื่อนไหลตามลมที่เคลื่อนไปทั่ว
ร่างกาย สั่งสมภายในแนวเส้น เปรียบเหมือนลูกโปร่งที่เราเป่าลมเข้า จากลูกโปร่งแฟบๆ เป่าลมเข้าไปจนลูกโปร่งโต แข็ง ลมที่เป่าเข้าไปจนลูกโปร่งใหญ่เต็มที่ เป็นการสั่งสมของพลังงาน ทำให้เกิดความดัน เวลาเราบีบลูกโปร่งที่เป่าจนใหญ่เต็มที่ จะแข็ง บีบไม่ลง แต่ถ้าเราปล่อยลมที่อยู่ในลูกโปร่งให้ค่อยๆไหลออก ขนาดของลูกโปร่งก็จะเล็กลง ความดันของลมที่สั่งสมอยู่ก็จะลดลง เมื่อเราบีบลูกโปร่งลูกโปร่งก็นิ่ม ไม่ต้านมือ
            พลังงานที่สั่งสมเข้ามาในร่างกาย เคลื่อนไหลและสั่งสมตามแนวเส้น และสั่งสมตามช่องท้อง กระโหลกศรีษะ
    พลังงานสั่งสมที่ช่องท้องก็จะทำให้ท้องพองโต พลังงานไปกระทบอวัยวะต่างๆในช่องท้อง
       พลังงานสั่งสมที่กระโหลกศรีษะ พลังงานก็จะกระทบการทำงานของตา หู คอ จมูก ปาก และสมอง
       พลังงานสั่งสมในแนวเส้น จะทำให้แนวเส้นบวมพอง หนาขึ้น ความดันของพลังงานที่สั่งสมอยู่ในแนวเส้น ก็จะส่งผลไปกดทับ ไปกด ไปดัน กล้ามเนื้อ กล้ามเนื้ออวัยวะ หรืออวัยวะที่แนวเส้นลากผ่าน  ถ้าเราไม่เคยได้นำพลังงานเหล่านี้ออกไปจากร่างกาย พลังงานเหล่านี้จะฝังตัวเก็บอยู่ภายใน ไม่ว่าจะกี่วัน กี่เดือน กี่ปี หรือเป็นสิบๆปี
         พลังงานที่สั่งสมอยู่นี้ เรามองไม่เห็น แต่เราสัมผัสได้ว่า
   มีอาการอึดอัด อาการปวดลึกๆในกล้ามเนื้อ
   อาการเสียวแปลบบริเวณที่เราเคยขาพลิก – ขาแพลง
   อาการปวดแปลบเข้าไปในหัวใจในขณะที่กล้ามเนื้อหัวใจเป็นปกติ
   อาการปวดตึงกลางหลังจากการที่เคยกระโดดลงมาจากที่สูง
   อาการปวดเสียว แปลบ ตึงที่แขน จากการที่เราใช้แขนทำงาน จนเกิดอาการบาดเจ็บ อาการนิ้วล็อค นิ้วบวม ปวดข้อมือ ปวดส้นมือ เพราะการใช้งานของมืออย่างต่อเนื่อง
    อาการปวดมึนศรีษะ คอตกหมอน ไหล่ติด สะบักจม หูอื้อ ภูมิแพ้หายใจไม่สะดวก กลืนอาหารกลืนน้ำลายลำบาก ตาพร่ามัว อาการรองช้ำ ตะคริว ขาโกร่งงอ หลังค่อม   ฯลฯ
        อาการที่กล่าวมานี้ เราเพียงแค่บำบัดให้ ธาตุดินธาตุน้ำหายกลับมาเป็นปกติ แต่ในส่วนของธาตุลม เราไม่ได้ทำให้ลมเคลื่อนไหลออกนอกกาย ออกที่รูขุมขน ที่ข้อกระดูก ที่ทวารต่างๆ พลังงานเหล่านี้แหละที่ทำให้การบำบัด รักษาอาการของเราเรื้อรัง
       เมื่อลมและพลังงานไม่คลายออกมา พลังงานที่สั่งสมมากขึ้น มากขึ้น ธาตุไฟในร่างกายเราก็จะกำเริบขึ้นมา ทำให้เรารู้สึกร้อนอยู่ภายในแต่ไม่มีไข้ การที่เรารู้สึกร้อนภายในร่างกาย แต่ไม่มีไข้ เพราะปรอทที่เราใช้วัดไข้จะสามารถตรวจวัดความร้อนที่เกิดจากการอักเสบของธาตุที่จับต้องได้ เห็นได้ด้วยตา คือธาตุดินและธาตุน้ำเท่านั้น
      ส่วนความร้อนที่เกิดจากกรณีนี้  เครื่องไม้เครื่องมือเราไม่สามารถตรวจวัดได้ ดังนั้นความร้อนที่เกิดขึ้นจากการขัดของลม เมื่อเราทำให้ลมไหลเวียนออกนอกกายได้ ลมพาพลังงานที่สั่งสมอยู่ให้ออกนอกร่างกายไป อาการร้อนภายในร่างกายเรา ที่เราตรวจวัดด้วยปรอทวัดไข้ไม่ได้ ความร้อนนั้นก็จะค่อยๆดับลง เย็นลง จนเป็นปกติ

เมื่อธาตุลมไหลเวียนออกนอกกายได้ปกติ อาการกำเริบของธาตุไฟก็จะดับลงไปเอง

วันอาทิตย์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

ปรับสมดุลธาตุทั้งสี่ บำบัดอาการช้ำใน

ปรับสมดุลธาตุทั้งสี่ บำบัดอาการช้ำใน

       ก่อนที่จะกล่าวถึงการแก้อาการนิ้วล็อค อาการนั่งแล้วหลังงอ หลังค่อม จะขอกล่าวถึงเรื่องพลังงานที่ซึมซับเข้ามาในร่างกาย ที่เป็นสาเหตุหลัก ทำให้เรามีอาการป่วยที่เรื้อรังที่เรามักจะพูดกันว่าปวดลึกๆข้างใน อาการช้ำใน จะบำบัดรักษาอย่างไรก็ยังมีอาการลึกๆเหลืออยู่ เป็นเดือน เป็นปี เป็นสิบๆปี

        อาการปวดลึกๆข้างใน อาการช้ำข้างใน ก็คือร่องรอยของพลังงานที่สะเทือน สะท้อน กระแทกเข้ามาในร่างกายเรา ไม่ว่าจะมาจากการใช้ชีวิตประจำวัน หรือพลังงานที่ได้รับเข้ามาจากอุบัติเหตุ เมื่อซึมซับเข้ามาในร่างกาย แล้วคลายพลังงานเหล่านี้ออกไปไม่ได้ ก็จะสั่งสมอยู่ภายในแนวเส้น ในร่างกายเรา

      ก่อนอื่นเราต้องแยกอาการเจ็บป่วยของร่างกายเราตามธาตุดินน้ำลมไฟ อาการเจ็บป่วยในร่างกายเราเกิดจากความไม่สมดุลของธาตุทั้งสี่ ไม่ใช่แค่ธาตุดินและธาตุน้ำเท่านั้น
       สาเหตุที่เราบำบัดอาการเรื้อรังต่างๆไม่ได้ ส่วนใหญ่เกิดจากการที่เราไม่ค่อยได้เน้นการปรับสมดุลของธาตุลม และธาตุไฟ เมื่อลมมีอยู่ทุกอณูของร่างกาย ลมในกายก็ไหลเวียนตามแนวเส้น
      เปรียบการไหลเวียนของลมในกาย เหมือนกับการไหลเวียนของน้ำในท่อระบายน้ำ
ทั้งลม ( อากาศ) และน้ำ ต่างก็คือพลังงานรูปแบบหนึ่ง ถ้าอยู่ในพื้นที่ๆจำกัด ก็จะทำให้มีมวล มีน้ำหนัก

       ถ้าท่อระบายน้ำอุดตัน น้ำก็ไม่สามารถไหลผ่านท่อ ไหลออกไปที่ปลายท่อได้ เมื่อน้ำไหลผ่านไปไม่ได้ นานวัน น้ำก็จะเน่าเสีย และถ้าหากมีฝนตกลงมา น้ำที่อยู่บนพื้นถนนก็ไม่สามารถไหลลงสู่ท่อระบายน้ำได้ จึงเกิดการท่วมขังของน้ำบนพื้นถนน  เพียงแค่เราลอกท่อระบายน้ำ ให้ไหลโล่ง นำขยะหรือดินที่ไหลไปกองในท่อระบายน้ำออก น้ำที่ท่วมอยู่บนพื้นถนนก็จะไหลลงมาที่ท่อระบายน้ำโดยอัตโนมัติ การท่วมขังของน้ำบนพื้นถนนก็จะค่อยๆลดระดับลง และแห้งหายไปในที่สุด
   
        ในสภาวะปกติ ลมในกายเราไหลเวียนเข้าและออกตามรูขุมขนต่างๆทั่วร่างกาย
เข้าออกได้ตามข้อกระดูกต่างๆ
เข้าและออกที่ปลายมือ-ปลายเท้า –ศรีษะ 
เข้าและออกตามทวารต่างๆ ตา หู จมูก ปาก ทวารหนัก และทวารเบา
        ส่วนพลังงานที่ร่างกายเราได้รับเข้ามาจากภายนอก จากทุกๆอิริยาบทของร่างกายเรา จากอุบัติเหตุ มีการสะเทือน สะท้อน กระแทก กระชาก พลังงานเหล่านี้ซึมซับเข้ามาในร่างกายเรา เคลื่อนไปกับธาตุลมที่เคลื่อนไหลอยู่ในแนวเส้น

         การซึมซับพลังงานด้านนอกเข้ามา เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้การไหลเวียนของธาตุลมในร่างกายเราเสียสมดุลไป  เพราะพลังงานที่ซึมซับเข้าไป เมื่อไหลผ่านมาตามแนวเส้น เข้ามาอยู่ในพื้นที่จำกัด แล้วไม่สามารถเคลื่อนไหลออกไปได้ ก็จะเกิดการสั่งสมพลังงาน  ณ.บริเวณนั้นๆ พลังงานเมื่อมีการสั่งสมมากขึ้นก็จะมีมวล มีน้ำหนัก เมื่อมีมวลมีน้ำหนัก ก็จะทำให้แนวเส้นที่พลังงานไปสั่งสมอยู่นี้เกิดการโป่งพองขึ้นมา
        เหมือนกับการที่เราเป่าลูกโปร่ง เมื่อเราเป่าให้ลมเข้าไปในลูกโปร่งโตแค่ครึ่งใบ ลมที่เข้าไปอยู่ภายในผิวลูกโปร่ง ก็จะทำให้ลูกโปร่งมีขนาดโตขึ้น เวลาเรากด บีบลูกโปร่งก็ยังนิ่ม ยังมีความยืดหยุ่นดี บีบไปลูกโปร่งก็ไม่แตก ความดันของลมที่อยู่ในลูกโปร่งแค่ครึ่งเดียว คือ50% 
      แต่ถ้าเราเป่าลูกโปร่งให้โตจนเต็มใบ ลมเข้าไปในลูกโปร่งจนเต็มที่ ถ้าเราเป่าเพิ่มเข้าไปอีก ลูกโปร่งก็จะแตก หรือถ้าเราบีบลูกโปร่งที่โตเต็มใบ ลูกโปร่งก็จะแข็ง ไม่เหลือความยืดหยุ่น ถ้าเราออกแรงบีบลูกโปร่งใบนี้ ลูกโปร่งก็แตก ความหนาแน่น ความดันของลมที่อยู่ในลูกโปร่งนี้ให้เท่ากับ100%  แต่ร่างกายเรา ผิวหนังเรามีความยืดหยุ่นมากกว่าผิวลูกโปร่ง แนวเส้นเราก็มีความยืดหยุ่นมากกว่าผิวลูกโปร่ง
        พลังงานที่เคลื่อนเข้ามาในร่างกาย เมื่อเข้ามาก็จะสั่งสมตามแนวเส้น แล้วค่อยๆแพร่กระจายไปตามแนวเส้น แนวกล้ามเนื้อ แพร่ไปสู่ช่องว่างในร่างกาย เช่นช่องท้อง ภายในกระโหลกศรีษะ 
        พลังงานที่สั่งสมอยู่ในแนวเส้น ก็จะทำให้แนวเส้นมีลักษณะโป่งพองขึ้นมา เช่น อาการเส้นตึง นิ้วล็อค อาการหลังตึงหลังแข็ง อาการเส้นคอตึงบวมขึ้นมา อาการเส้นเลือดขอด
      พลังงานสั่งสมอยู่ในช่องท้อง ก็จะทำให้อวัยวะต่างๆในช่องท้องเสียสภาพการทำงานไป กล้ามเนื้ออวัยวะนั้นๆเสียสภาพการทำงานไป ( ฟื้นฟูการทำงานให้กลับมาทำงานตามปกติได้ )  อาการที่เกิดกับมดลูก หัวใจ ตับ ไต กระเพาะอาหาร กระเพาะปัสสาวะ อวัยวะทุกๆอย่างที่อยู่ในช่องท้อง พลังงานที่สั่งสมอยู่นี้จะเข้าไปกดทับ ทำให้การขยับเคลื่อนไหวอวัยวะได้ไม่ปกติ เช่น ลมหรือพลังงานไปบีบกระเพาะอาหาร ทำให้กระเพาะอาหารหดตัวแล้วขยายตัวไม่ขึ้น จึงทำให้กระเพาะอาการเล็กลงตามขนาดที่หดตัว แล้วไม่สามารถขยายตัวขึ้นมา มีผลทำให้พลังงานกล ที่ช่วยในการย่อยด้อยลงไป การคลุกเคล้าน้ำย่อยกับอาหารที่จะย่อยก็มีน้อยลง ทำให้เกิดอาการอาหารไม่ย่อย อืดท้องเมื่อขนาดของกระเพาะเล็กลง การระเหยของน้ำย่อย ในกระเพาะจึงสามารถผ่านขึ้นไปถึงบริเวณลำคอ
ฯลฯ
     พลังงานอยู่ในช่องกระโหลกศรีษะ พลังงานจะกระจายไปกดทับเนื้อสมอง เส้นเลือดสมอง ตา หู คอ จมูก ปาก ทำให้กล้ามเนื้อ เส้นเลือด เส้นประสาทที่ไปหล่อเสี้ยงก็เสียสภาพการทำงานไป 
      พลังงานที่อั้นอยู่บริเวณแนวเส้น ตามข้อกระดูกต่างๆ ก็จะไปกดทับกล้ามเนื้อ กดทับอวัยวะ กดทับเส้นประสาท อย่างเช่นอาการหมอนรองกระดูกเคลื่อนทับเส้นประสาทขา ฯลฯ

        ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ เพื่อแยกแยะให้เข้าใจว่า การบำบัดร่างกายคนเรา การบำบัดให้กล้ามเนื้อ อวัยวะ ให้หายจากอาการเจ็บ อักเสบ การบวม การขับถ่ายอุจจาระ เป็นการบำบัดธาตุดิน
         การบำบัดให้เลือด น้ำเหลือง ไหลเวียนดีขึน การขับถ่ายปัสสาวะ เป็นการบำบัดธาตุน้ำ
         การกดนวดที่เราบอกว่านวดให้เลือดลมเดิน ต้องขยายความหน่อยว่า .” นวดเพื่อให้เลือดลมเดิน ทำให้ลมในกายไหลเวียนเคลื่อนจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง สักระยะหนึ่งลมที่เคลื่อนออกไปก็จะไหลย้อนกลับมาที่เดิม หรือทำให้ลมที่ไหลเวียนในร่างกาย ให้ไหลเวียนออกนอกร่างกาย ”
      ถ้าการไหลเวียนของลม ยังคงเคลื่อนไหลอยู่ในกาย ไม่ไหลออกนอกกาย พลังงานที่ซึมซับเข้ามาในกาย ก็ไม่สามารถเคลื่อนออกไปนอกกายได้ พลังงานที่สั่งสมจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  ก็จะส่งผลถึงแนวเส้น คือพลังงานก็จะสะสมอยู่บริเวณนั้นๆ พลังงานมีมวล มีน้ำหนัก ก็ไปกดทับอวัยวะ กดทับกล้ามเนื้ออวัยวะต่างๆ เมื่อพลังงานสั่งสมอยู่กับที่ ก็จะทำให้ธาตุไฟกำเริบขึ้น เกิดความรู้สึกว่าในร่างกายร้อนเพิ่มขึ้น แต่เมื่อวัดไข้ วัดอุณหภูมิในร่างกาย ผลก็คือไม่มีไข้ เพราะว่าความร้อนที่เกิดขึ้นนี้ เป็นความร้อนที่เกิดขึ้นเนื่องจากธาตุลมขัด ไม่ไหลเวียนออกนอกร่างกาย
     สำหรับความร้อน หรือไข้ที่เกิดขึ้นจากธาตุดิน ธาตุน้ำ เป็นธาตุที่เราเห็นได้ จับต้องได้  สัมผัสได้ เมื่อเราใช้ปรอทวัดอุณหภูมิในร่างกาย จึงสามารถตรวจวัดความผิดปกติของธาตุดินและธาตุน้ำได้ เราจึงทราบว่าเราเป็นไข้ เพียงแค่เรารักษาธาตุดิน ธาตุน้ำให้กลับมาสมดุล อาการไข้ก็จะหายไป
     แต่สำหรับอาการตัวร้อนจากธาตุลมที่ขัด เพียงแค่เราทำให้ลมที่อั้นอยู่ในแนวเส้น ที่อั้นอยู่ในร่างกาย ให้เคลื่อนไหลออกนอกร่างกาย ลมก็จะนำพาพลังงานที่สั่งสมในร่างกาย ให้ค่อยๆคลายตัว ให้ไหลออกนอกร่างกายไปพร้อมกับลมที่เคลื่อนออก อาการร้อนที่ไม่มีไข้ ก็จะค่อยๆคลายออก และร่างกายก็จะกลับมาเป็นปกติ ไม่ร้อนอยู่ข้างในอีกต่อไป

      การบำบัดอาการในร่างกายเรา จึงควรเป็นการบำบัดธาตุทั้งสี่คือดินน้ำลมไฟ ในที่สุด ก็จะทำให้อาการที่เราเคยรักษาไม่ได้ เคยเรื้อรังมา ก็จะบำบัดรักษาได้ และหายได้ในที่สุด

เส้นบวม. 3/3

เส้นบวม ( 3 / 3)
นวดไล่ลม จะช่วยได้อย่างไร

      การนวดเส้น คือการนวดเส้นที่มีเลือดและลมแล่นอยู่
      นวดไล่ลม คือการกดนวดตรงแนวเส้น เป็นการนวดเพื่อทำให้ลมไหลเวียนเข้าและออกตามรูขุมขนทั่วกายได้เป็นปกติ
       แนวเส้นที่มีลมขัดอยู่ ลมไหลเวียนออกนอกกายไม่สะดวก ความสามารถของลมที่จะพาพลังงานที่ซึมซับเข้ามา แล้วสั่งสมอยู่ในร่างกาย ให้พลังงานนั้นๆเคลื่อนไหลออกนอกร่างกายก็ลดลงไปด้วย เมื่อพลังงานเคลื่อนออกนอกกายเราไม่ได้ เกิดการสั่งสม บวมพอง ในแนวเส้น ตามกล้ามเนื้อ ตามกล้ามเนื้ออวัยวะ ทำให้เกิดการเจ็บป่วยที่เรื้อรัง

       นึกถึงอารมณ์ความรู้สึก เมื่อเราไปนอนให้หมอนวดกดนวดให้ เวลาที่เราโดนกดตรงประตูลมที่ขาหนีบ ในท่านอนหงาย เมื่อหมอนวดยกมือที่กดตรงประตูลมที่ขาหนีบออก เราจะมีความรู้สึกว่า มีความร้อนวิ่งลงไปที่ปลายเท้า เราจะรู้สึกเบาสบาย แต่การนวดทั่วไปก็ไม่ได้เน้นการกดนวดให้ลมไหลออกนอกกาย

        ลองนึกดูอีกกรณีหนึ่ง เวลาที่เราโดนหมอนวด นวดกดลงมาที่บ่า ในท่านั่งนวด เมื่อโดนกดลงที่แนวบ่า เราจะรู้สึกว่าบ่าเราเบา โล่งขึ้น แต่เราจะรู้สึกเมื่อยหลัง เมื่อยเอว หลังจากนวดไป2-3วัน เราก็จะรู้สึกมีอาการปวดตึงที่แนวบ่าอีก เป็นอย่างนี้ทุกๆครั้ง

       ทั้งนี้เพราะเมื่อเรากดลงที่บ่า ลมและพลังงานก็จะเคลื่อนไหลไปในที่ๆโล่งกว่าหรือตึงน้อยกว่า ( ขณะกด ที่บ่าจะมีความตึงมาก )  หลังจากนั้น2-3วัน ลมหรือพลังงานที่เคลื่อนลงไปที่แนวหลังหรือเอว ก็จะไหลย้อนเคลื่อนกลับไปด้านบน คือที่บ่าที่ยังโล่งอยู่  จึงทำให้มีอาการบ่าตึงกลับมาอีก  เป็นอย่างนี้ทุกครั้งทุกครา
 
         การกดนวดไล่ลม ก็เป็นอารมณ์เดียวกันกับการกดประตูลมในท่านอนหงาย ที่เราเคยสัมผัสกันมา เพียงแต่เป็นการเน้นการกดนวดแล้วทำให้ลมเคลื่อนออกนอกกาย กดนวดครั้งเดียว ลมหรือพลังงานสามารถเคลื่อนไหลไปออกที่ปลายมือ ปลายเท้า ศรีษะ ในซีกของร่างกายที่กดนวด สามารถกระทุ้งทำให้ลมและพลังงานเคลื่อนไหลออกนอกร่างกายตามรูขุมขนที่อุดตัน เมื่อลมในแนวเส้นไหลเวียนดีขึ้น ลมที่อยู่ตามช่องท้องและกระโหลกศรีษะก็จะสามารถแพร่ไหลตามลมที่เคลื่อน ทำให้ลมและพลังงานนั้นๆที่คั่งค้างอยู่ในช่องท้อง อยู่ในกระโหลกศรีษะ สามารถเคลื่อนไหลออกนอกร่างกายได้

     เมื่อลมและพลังงานไม่สามารถเคลื่อนไหลออกนอกกาย แนวเส้นก็จะปูดบวมขึ้นมา พลังงานที่เข้ามาที่นิ้วมือ ข้อมือ มือ ก็จะทำให้แนวเส้นที่หลังแขน แขนท่อนล่าง โป่งพอง จนทำให้เกิดอาการนิ้วตึงแข็งงอไม่ได้ นิ้วล็อค ( โป้ง ชี้ กลาง )  ปวดข้อมือ  เมื่อเรากดไล่ที่หลังแขนแนวเส้นนิ้วโป่งแขน ก็จะช่วยทำให้พลังงานที่เข้ามาทางมือ ให้คลายไหลออกไปที่ปลายนิ้วมือได้ อาการนิ้วตึง นิ้วล็อคก็จะคลายหายไปเอง

       เมื่อเรากดนวดที่บ่า ลมและพลังงานก็จะเคลื่อนไหล เปลี่ยนจากที่บ่ามาอยู่ที่หลังและเอว ถ้าเราม่นำพลังงานนี้ออกนอกกายไป 2-3 วัน พลังงานนี้ก็จะย้อนกลับไปที่บ่าอีก อาการเดิมๆก็กลับมาอีก แต่ถ้าเรามากดนวดไล่ลม ที่แนวเส้นข้างขาด้านใน ( ท่านอนตะแคง ) ลมและพลังงานก็จะเคลื่อนไหลลงไปตามแนวเส้นจากเอว ไปแนวกระเบนเหน็บ ไปแนวเส้นข้างขาด้านใน แนวหน้าแข้งด้านใน ตาตุ่มใน ไปออกแนวร่องฝ่าเท้าระหว่างนิ้วโป้งและนิ้วชี้ ลมและพลังงานก็จะไหลออกตามข้อกระดูกกระเบนเหน็บ ข้อสะโพก ข้อเข่า ข้อตาตุ่ม ข้อเท้า ข้อนิ้วเท้า ออกทวารหนัก ออกทวารเบา ออกตามรูขุมขนตลอดแนวเส้นที่ลมสามารถไหลออกได้

      พลังงานที่เคลื่อนลงมาจากบ่าลงมาที่หลังที่เอว เมื่อเรานำพลังงานนี้ออกนอกกายเราไปได้ ก็จะไม่มีพลังงานไหลย้อนกลับไปด้านบนที่บ่า อาการเรื้อรังต่างๆที่ คอบ่าไหล่ ก็จะค่อยๆคลายตัว พลังงานที่สั่งสมอยู่ภายในก็จะค่อยๆเคลื่อนลอยขึ้นมาอยู่ใต้ผิวหนัง รอการนวดไล่ลมเพื่อนำพลังงานที่คลายขึ้นมานี้ออกไปอีก นวดซ้ำไปๆ จนพลังงานที่สั่งสมไว้หมด อาการเจ็บป่วยเรื้อรังก็จะค่อยๆทุเลาหายไปเอง

แล้วนิ้วล็อค นิ้วตึง ต้องบำบัดอย่างไร

เส้นบวม ( 2/3 )

เส้นบวม ( 2 / 3)
 อาการบวมของเส้น

      เรื่องของลมและพลังงานที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกาย เป็นนามธรรม เป็นสิ่งที่เห็นไม่ได้ด้วยตาเปล่า แต่สิ่งที่ตาเราไม่เห็น ใช่ว่าจะไม่มีอยู่จริง ลมมีอยู่ทุกอณูในร่างกายเรา ลมเข้าและออกร่างกายตามทวาร ตามข้อ และเข้าออกตามรูขุมขนต่างๆทั่วร่างกาย ลมในร่างกายมีไม่มากเกินกว่าขนาดร่างกายของแต่ละคน
     การที่คนเราเจ็บป่วยในเรื่องลม เป็นผลกระทบที่เกิดจากการที่ลมไม่ไหลเวียนออกนอกร่างกาย เมื่อลมไม่ไหลเวียนและยังติดขัด คาอยู่ในร่างกาย จึงทำให้เกิดมวล น้ำหนัก ไปกดทับอวัยวะ กดทับกล้ามเนื้อบริเวณที่ลมคั่งค้างอยู่

            การนวดเส้นคือการนวดเส้นที่มีเลือดและลมแล่นอยู่ภายใน ดังนั้นลมที่แล่นอยู่ภายในเส้น เมื่อเคลื่อนออกนอกร่างกายไม่ได้ ทำให้พลังงานที่เข้ามาในร่างกาย เข้ามาแล้วออกนอกกายไม่ได้เช่นเดียวกัน  เกิดอาการบวมเป่งที่แนวเส้น เส้นพองนูนมากกว่าปกติ

            เคยเห็นสายยางดับเพลิงไหมครับ ในขณะที่ยังไม่ได้ใช้งานสายดับเพลิงนี้ สายนี้จะเรียบแบน เราสามารถม้วนเก็บสายดับเพลิงนี้ได้ แต่ถ้าเราต่อสายดับเพลิงนี้เข้ากับหัวก๊อกเพื่อเชื่อมต่อน้ำ สายดับเพลิงที่แบนราบก็จะพอง แข็งขึ้นมา แข็งตึงแน่นจนเราเหยียบที่สายดับเพลิง สายดับเพลิงก็ไม่ยุบ แข็ง ไม่ยวบลงมา

          ที่ยกตัวอย่างสายดับเพลิง เพื่อสื่อให้เข้าใจถึงพลังงานที่กระทบเข้ามาในร่างกาย น้ำที่เปิดให้ไหลเข้ามาในสายดับเพลิง สามารถอฺธิบายเปรียบเทียบให้เห็นได้ว่า พลังงานที่ร่างกายเรารับเข้ามานี้ มีผลอย่างไรกับร่างกาย
         พลังงานแสงที่เข้ามากระทบทางนัยน์ตา
         พลังงานเสียงที่เข้ามากระทบที่หู
         พลังงานที่สะท้อนเข้ามาในกาย จากการกระโดด เดิน ยืน ศรีษะโหม่งลูกบอล เตะฟุตบอล
         พลังงานที่กระแทกเข้ามาในร่างกาย จากการที่เราโดนรถชน ก้นกระแทกพื้น
         พลังงานที่สะท้อนเข้ามาในร่างกายจากการที่เราแขนกระชาก
         พลังงานที่ตึงสะสมจากการที่กล้ามเนื้อแข็งตึง แน่น จากอาการปวดเส้น อาการออฟฟิตซินโดรม
             ฯลฯ

      ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ เป็นเหตุแห่งพลังงานที่ร่างกายเราได้รับเข้ามา ทุกๆอิริยาบทของร่างกายเรา จะมีพลังงานเข้ามาในร่างกาย

        สายดับเพลิง เมื่อเราเปิดให้น้ำไหลผ่าน สายดับเพลิงที่แบนเรียบ ก็จะนูนแข็งขึ้นมา จนเราเหยียบไม่ลง จะยก จะเคลื่อนย้ายก็ลำบาก ที่เป็นเช่นนั้นเพราะน้ำ เมื่ออยู่ในที่ๆจำกัด มีขอบเขต  เป็นรูปทรง น้ำอยู่ในสายดับเพลิง ก็จะอยู่จนพองเต็ม แน่นที่สุดที่สายดับเพลิงรับได้  นั่นย่อมหมายถึงความหนาแน่นของน้ำต่อหน่วยพื้นที่สูงสุด ที่สายดับเพลิงรับได้ ความดันของน้ำที่เกิดขึ้นภายในสายดับเพลิง ถือว่า100% เวลาเราเหยียบสายดับเพลิงจึงแข็งมาก
        แล้วถ้าเราค่อยๆลดการเปิดน้ำเข้าสายดับเพลิง สายดับเพลิงก็จะค่อยๆแฟบ ค่อยๆนิ่มลง ความดันของน้ำในสายดับเพลิงก็ค่อยๆลดลง จนเหลือศูนย์ เราจึงสามารถม้วนเก็บสายดับเพลิงได้

          สำหรับร่างกายเรา การนวดเส้นคือการนวดเส้นที่มีเลือดและลมแล่นอยู่ นั่นคือ ในเส้นเลือดของเรามีลมแล่นอยู่ แต่เราไม่เห็นลมครับ
           ลมที่เคลื่อนอยู่ในแนวเส้น ลมจะมีมากแค่ขนาดรูปร่างของร่างกายเราเท่านั้น ลมมีอยู่ทุกอณูของร่างกาย อยู่ใต้ผิวหนังร่างกายเรา การที่เรามีปัญหาเรื่องลม ก็คือปัญหาที่ลมไม่ไหลเวียนออกนอกกาย

          ลมขัดอยู่ในเส้น ลมคือพลังงาน เมื่อลมติดขัด ไม่สามารถไหลเวียนออกจากแนวเส้น ออกตามรูขุมขนทั่วร่างกาย ออกที่ทวาร ออกตามข้อต่างๆ ลมที่ไหลเวียนออกนอกร่างกายไม่ได้ ลมก็จะหยุดบริเวณนั้นๆ

           เมื่อพลังงานเกิดการซึมซับเข้ามาในร่างกายเรา จากการชนกระแทก การกระชาก จากทุกๆอิริยาบทของร่างกาย พลังงานจะเคลื่อนเข้ามา โดยลมในกายเราเป็นตัวนำพาให้เคลื่อนไหล  พลังงานที่เข้ามาเมื่อไหลออกนอกกายไม่ได้ จึงเกิดการสั่งสม เหมือนกับการที่เราค่อยๆเปิดน้ำให้ค่อยๆไหลเข้ามาที่สายดับเพลิง เมื่อเราเปิดให้น้ำไหลเข้ามาเต็มที่  สายดับเพลิงก็จะแข็งตึงขึ้นมา

        แนวเส้นในร่างกายของเรา ในช่องท้อง ภายในกระโหลกศรีษะ หรือทุกๆอณูในร่างกายเรา เมื่อลมไม่ไหลเวียนออกนอกกาย พลังงานที่ซึมซับเข้ามาก็ไม่สามารถเคลื่อนออกไปได้ จึงเกิดการสั่งสม  เมื่อเกิดการสั่งสมที่บริเวณใด ก็จะทำให้แนวกล้ามเนื้อ แนวเส้นบริเวณอวัยวะนั้นๆ บวม พองขึ้นมา เช่น
 ที่เส้นคอ ที่แผ่นหลัง  ที่นิ้วอาการนิ้วล็อค นิ้วตึง ที่แนวเส้นหลังอาการหลังค่อม
 ที่ช่องท้องลมทำให้พลังงานไปกดทับอวัยวะภายในที่อยู่ในช่องท้อง
 ที่กระโหลกศรีษะลมและพลังงานไปกดทับอวัยวะภายในศรีษะ

นวดไล่ลม จะช่วยได้อย่างไร