วันอาทิตย์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

พลังงานที่สั่งสมอยู่ภายในร่างกาย .... ไฟฟ้าสถิต

นวดไล่ลม-คลายพลังงาน
พลังงานที่สั่งสมอยู่ภายในร่างกาย .... ไฟฟ้าสถิต

         ปรากฎการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นกับร่างกายเรา ทุกวันนี้บางอย่างก็ไม่สามารถหาคำตอบได้ เช่น
         อาการร้อนผ่าวๆอยู่ในร่างกายเรา แต่เมื่อเราตรวจวัดด้วยปรอทวัดไข้ ปรอทวัดไข้ไม่สามารถตรวจจับอุณหภูมิที่สูงขึ้นมาได้ ผลคือเราไม่ได้เป็นไข้ ....
         แต่ทำไมตัวเราถึงร้อนอยู่ภายใน เรารู้สึกร้อน คนรอบข้างเราก็รู้สึกว่าตัวเราร้อนเหมือนกัน แต่ร่างกายเราไม่มีไข้
          อีกอาการหนึ่ง หลายๆคนคงมีอาการนี้อยู่ คือมีไฟฟ้าสถิตอยู่ในร่างกาย บางคนมีอาการขนลุก แต่ส่วนมากจะมีอาการสปาร์ค เหมือนไฟช็อต เป็นอาการไฟฟ้าสถิตเคลื่อนออกจากร่างกาย หลายๆคนจะรู้สึกเมื่ออยู่ในที่ๆเย็น ชื้น เช่นอยู่ในซุปเปอร์มาร์เก็ตแล้วเราไปจับรถเข็น ก็จะเกิดอาการช็อตขึ้นมา บางคนแค่คนอื่นมาสัมผัสผิวกายของเรา เขาก็จะรู้สึกว่า มือเขาถูกไฟช็อต .... ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น

        จริงๆแล้ว ทั้งสองอาการที่ยกขึ้นมาเป็นตัวอย่างนี้ เพื่อความเข้าใจในเรื่องพลังงานที่กระทบเข้ามาในร่างกาย แล้วออกนอกร่างกายเราไม่ได้ จึงทำให้เกิดการสั่งสมพลังงานนั้นตามแนวเส้น ภายในร่างกาย พลังงานเหล่านี้จะเคลื่อนออกนอกร่างกายเราได้ ที่ข้อกระดูก ที่ทวารต่างๆ และทุกๆรูขุมขนทั่วร่างกาย
       
         เมื่อร่างกายเรามีปัญหา ธาตุลมในร่างกายไม่ไหลเวียนออกนอกร่างกายตามปกติ ทำให้พลังงานที่สั่งสมอยู่ภายในมีความเข้มข้น หนาแน่นมากขึ้น มีผลทำให้ธาตุไฟในร่างกายเกิดกำเริบขึ้นมา ตัวเราจึงร้อนขึ้นมา

          พลังงานที่สั่งสมนี้ ได้ทำให้ธาตุไฟกำเริบ เกิดความร้อนขึ้นมาในร่างกาย แต่เมื่อใช้ปรอทวัดไข้วัดอุณหภูมิ อุณหภูมิภายในร่างกายปกติ คือไม่เป็นไข้
           ความร้อนที่เกิดขึ้น ไม่ได้เกิดจากปัญหาของธาตุดิน-ธาตุน้ำ แต่ความร้อนที่เกิดขึ้น เกิดจากไฟฟ้าสถิตในร่างกายเรานั้นเอง

         เมื่อเราทราบว่า พลังงานที่สั่งสมภายในร่างกาย คือไฟฟ้าสถิต และทำให้เกิดอาการช็อตเมื่อมีการถ่ายประจุไฟฟ้าออกไป โดยการที่เราไปจับรถเข็น หรือคนอื่นมาจับผิวกายเรา ก็คือการเหนี่ยวนำพลังงานในร่างกายให้เคลื่อนออกนอกร่างกายนั่นเอง

         จากเหตุผลดังกล่าว เมื่อเรากดนวดไล่ลม ทำให้ลมในแนวเส้นเคลื่อนไหลออกนอกร่างกาย พลังงานที่สั่งสมอยู่ภายใน หรือพลังงานสถิต ก็จะเคลื่อนตามออกมาด้วย
           เมื่อพลังงานที่สั่งสมอยู่ภายใน ได้มีการคลายตัวออก ความเครียดภายในก็จะน้อยลง ธาตุไฟที่เคยกำเริบก็จะค่อยๆคลายตัวลง อุณหภูมิความร้อนในร่างกายก็จะกลับมาสู่สภาวะปกติ ( ตัวไม่ร้อน – ไข้ไม่มี )

            เมื่อเรากดนวดไล่ลม-คลายพลังงาน ทำให้พลังงานสถิตนี้เคลื่อนไหลออกนอกร่างกาย ออกไปตามรูขุมขน หลังจากนั้นอาการไฟช็อตเมื่อมีการไปจับรถเข็น หรือคนอื่นมาจับผิวกายเรา ก็จะค่อยๆเบา และหายไปในที่สุด ........
           
                       26 พฤษภาคม 2562

วันพุธที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

ฝาถังน้ำแข็งงับนิ้วมือ

นวดไล่ลม-คลายพลังงาน
ฝาถังน้ำแข็งงับนิ้วมือ

           เมื่อวานนี้ บังเอิญได้เข้าไปอยู่ในเหตุการณ์ กรณีการบาดเจ็บจากการที่ถูกวัตถุหล่น กระแทกใส่นิ้วมือ ผู้ป่วยได้จัดการจะล้าง และเคลียร์ถังน้ำแข็ง  หลังจากการใช้งานเสร็จสิ้นลง ปรากฎว่าเกิดอุบัติเหตุขึ้นกับนิ้วมือที่ไปวางพาด บริเวณที่ฝาถังปิดลงมา ผลก็คือฝาถังได้งับ กระแทกใส่นิ้วมือ  2-3 นิ้วมือ ตอนที่กระแทกมีอาการตึง ชา เข้าไปที่บริเวณแนวแขนท่อนล่าง ผ่านข้อศอก ไปตามแนวแขนท่อนบน ผู้ป่วยตะโกนตกใจ

             เมื่อเห็นดังนั้น จึงได้เรียกผู้ป่วยที่คุ้นเคยกัน มาถามอาการ และได้ช่วยกดนวดไล่ลมคลายพลังงาน
               อาการผู้ป่วย เจ็บ ชา ที่นิ้วที่โดนกระแทก กระดูกนิ้วไม่เป็นอะไร จึงได้บอกกล่าวเพื่อขอกดนวดแก้ไขอาการเจ็บนี้ ซึ่งผู้ป่วยก็ยินดี

              นิ้วเมื่อโดนกระแทก พลังงานก็จะสะเทือนเข้ามาตามแนวเส้นนิ้วมือ นิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วนาง เมื่อพลังงานเข้ามาในแนวเส้นนิ้วมือ ก็จะส่งผ่านพลังงานไปที่เส้นแขนท่อนล่าง ถ้าโดนกระแทกแรงมากๆก็จะส่งผ่านพลังงานไปถึงแขนท่อนบน ถึงบริเวณโคนแขน ( รักแร้ )

             ตอนโดนกระแทกจะมีความรู้สึกตึง ชา ขึ้นมาตามท่อนแขน มีอาการเต้นตุ๊บๆที่แนวเส้นด้วย นั่นแสดงว่าพลังงานที่กระแทกเข้ามา  ได้เคลื่อนไปพร้อมกับลมที่เคลื่อนไหลอยู่ในแนวเส้น
            จึงได้กดนวดไล่ลมบริเวณแนวเส้นแขนท่อนล่าง แนวเส้นนิ้วโป้ง นิ้วชี้ นิ้วกลาง บริเวณตำแหน่ง จุดกึ่งกลางหน้าปัดนาฬิกา  ( บริเวณแนวนิ้วกลาง ) ใช้เวลากดนวด-คลายประมาณ 5 นาที
           
   ครั้งแรกที่กดนวดลงไป เมื่อผมยกนิ้วมือผมขึ้น ไม่ปรากฎว่ามีลมเคลื่อนไหลออกที่ปลายนิ้วมือ จึงค่อยๆกดนวด ซ้ำแล้วซ้ำเล่า บริเวณเดิม บริเวณแขนท่อนล่าง จนเมื่อกดนวดไปที่แขนแต่จะปรากฎมีการปวด ตึงไปกระทุ้งที่นิ้วที่โดนกระแทก
      กดที่แขนซ้ำหลายๆครั้ง ปรากฎว่าอาการปวดที่นิ้ว ค่อยๆ ลดลง อาการเต้นตุ๊บๆก็ค่อยๆเบาลง จนในที่สุด อาการตึง เจ็บ เต้นตุ๊บๆที่แนวเส้นก็หายไป จึงได้ลองให้ผู้ป่วย ลองกำมือดูปรากฎว่า อาการเจ็บตึง ที่นิ้วมือที่โดนกระแทก เบาลง และหายเจ็บไป ในเวลาประมาณ 5-10 นาทีของการกดนวด

             สรุปว่า เป็นกรณีตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจน เป็นอาการที่เกิดขึ้นใหม่ๆเมื่อพลังงานกระแทกเข้ามาที่นิ้ว ก็จะแล่นไปตามแนวเส้น เข้าไปที่แขนท่อนล่าง ถ้าแรงกระแทกมากกว่านี้ก็อาจจะเคลื่อนไหลไปถึงแนวเส้นแขนท่อนบน

           หลักของการบำบัด เพียงแค่เรากดนวดทำให้ลมที่อยู่ที่แขนท่อนล่าง เคลื่อนไหลไปออกที่ข้อกระดูกมือ อุ้งมือ ข้อกระดูกนิ้ว เมื่อลมไหลออกไปที่นิ้วมือได้ พลังงานก็จะคลายออกไปด้วย อาการป่วยเรื้อรังที่เกิดจากพลังงานเข้ามาแล้วออกนอกร่างกายไม่ได้ ก็จะไม่เกิดขึ้น

         สรุปว่า หลังจากช่วยกดนวดไล่ลม-คลายพลังงาน กดนวดไปได้ประมาณ 5 -10 นาที อาการตึง เจ็บ ที่นิ้วที่โดนกระแทกได้ลดลง การงอนิ้วมือ ก็กลับมาปกติ อาการเต้นตุ๊บๆก็หายไป
           ผ่านมาหนึ่งวัน อาการปวด เกร็ง ตึงนิ้วมือ อาการตุ๊บๆตามแนวเส้น ไม่มี ผู้ป่วยไม่มีอาการเจ็บที่นิ้ว
           จึงสรุปว่า เมื่อพลังงานเคลื่อนเข้ามาในร่างกาย ถ้าเราสามารถเคลื่อนพลังงานนั้นให้ไหลออกนอกร่างกายไปกับลมที่เคลื่อนออกได้ทันที ไม่ทิ้งไว้นานเกินไป อาการป่วยเรื้อรังจะไม่เกิดขึ้น 
                                                 

                      15 พฤษภาคม  2562

วันพฤหัสบดีที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

พลังงานเกี่ยวข้องอะไรกับลมในร่างกาย

นวดไล่ลม-คลายพลังงาน
พลังงานเกี่ยวข้องอะไรกับลมในร่างกาย

          สงสัยไหมว่าเวลาผมพูดถึงนวดไล่ลม ผมจะมีคำต่อท้ายว่า “ คลายพลังงาน ” แล้วทำไมจึงต้องเป็น “ นวดไล่ลม-คลายพลังงาน ”
           จากการสอนการทำกรรมฐานขององค์หลวงปู่เจือ สุภโร หลวงปู่ท่านสอนให้ทำสมาธิโดยให้ทำกสิณสีขาว ให้นึกเห็นท้องฟ้า เมื่อปฏิบัติต่อเนื่องไป กำลังสมาธิมีกำลังมากขึ้น ( ฌานมีกำลังสูงขึ้น ) ปฏิบัติต่อเนื่องไป ให้นึกเห็นท้องฟ้า แผ่นน้ำ แผ่นดิน กาย ลม ได้ในเวลาเดียวกัน ก็จะทำให้สมาธิ และฌานมีกำลังมากขึ้น แล้วเราจะรู้การเคลื่อนไหลของลมในร่างกายเรา เป็นลมหกกอง หนึ่งในนั้นคือลมหายใจ
         “ หายใจเข้ารูจมูก ลมออกทั่วกาย ออกทุกรูขุมขนทั่วกาย “
         “ หายใจออกรูจมูก ลมเข้าทั่วกาย เข้าทุกรูขุมขนทั่วกาย “ 
     ดังนั้นร่างกายเรา ผิวกายเรา ในสภาวะปกติลมสามารถวิ่งเข้า – แล่นออกตามรูขุมขนทั่วร่างกายได้ ( เหมือนผึ้งที่บินเข้าบินออกที่รังผึ้ง )       
      เมื่อลมเข้ามาในร่างกาย แล้วลมก็ไหลออกจากร่างกายไปได้ ทำให้ร่างกายคนเราไม่บวม ไม่พองโตขึ้นมาจนเกินปกติ
            แต่เมื่อใดที่ผิวกายเรา ลมไม่สามารถไหลออกตามรูขุมขนได้ จะเนื่องด้วยสาเหตุใดๆก็ตาม สภาพของร่างกายเราก็จะเหมือนลูกโป่ง เป็นลูกโป่งที่เป่าให้โตขึ้นเรื่อยๆ  โตขึ้นจนผิวหนัง ผิวร่างกายเราบวม เปล่ง ผิวกายเราจะมันขึ้น ( บริเวณหน้าแข้ง )
            ถ้าหากผิวกายเราเปราะบางเหมือนผิวลูกโป่ง ผิวหนังของเราก็คงปริ แตก ระเบิดไปแล้ว เมื่อผิวกายเราไม่แตก ไม่ระเบิด ลมที่ไหลเข้ามาในร่างกายก็จะยังไม่สามารถไหลออกที่รูขุมขนได้  ซึ่งเราเรียกว่าเป็นอาการขัดของลมนั่นเอง
              สำหรับเรื่องพลังงานที่ซึมซับเข้ามา และสั่งสมอยู่ในร่างกายเรานั้น เป็นพลังงานที่เข้ามาในร่างกายเราจากการใช้ชีวิตประจำวัน ทุกๆอิริยาบทของร่างกายเรา จะมีพลังงานซึมซับเข้ามาในร่างกายเรา โดยธาตุลมในร่างกายเรา ซึ่งเป็นพลังงานเดิมๆที่มีอยู่แล้วในร่างกาย ลมในกายจะเคลื่อนไหลไปตามแนวเส้น ( การนวดเส้น คือการนวดเส้นที่มีเลือดและลมแล่นอยู่ ) ดังนั้นลมจึงเคลื่อนไหลไปตามแนวเส้น ก็คือเส้นเลือดนั่นเอง
              ร่างกายเรา เส้นเลือดแดง เส้นเลือดดำ เส้นเลือดใหญ่ เส้นเลือดฝอย ก็คือแนวเส้น คือแนวที่ลมจะเคลื่อนไหลไปตลอดทั่วร่างกาย เคลื่อนไปตามแนวเส้น เส้นเลือด ลมวิ่งไปตามแนวเส้นที่ฝังอยู่ในกล้ามเนื้อ อยู่ใต้ผิวหนัง ใต้รูขุมขน ลมสามารถเคลื่อนไหลตามแนวเส้นผ่านกระดูกท่อนหนึ่งไปยังกระดูกอีกท่อนหนึ่ง ลมเคลื่อนไหลออกนอกร่างกายตามทวารต่างๆ ตา หู คอ จมูก ปาก ทวารหนัก ทวารเบา และลมเคลื่อนไหลออกตามรูขุมขนทั่วร่างกาย
        เรากดนวดไล่ลมที่ขาท่อนบน เมื่อเราผ่อน คลายแรงที่กดนวดไล่ลม ลมในกายจะค่อยๆเคลื่อนไหลไปตามแนวเส้น  แล่นไป ผ่านข้อกระดูกหัวเข่า
       ค่อยๆเคลื่อนไปตามแนวเส้นกระดูกขาท่อนล่าง  แล่นไป ผ่านข้อกระดูกตาตุ่ม
       ค่อยๆเคลื่อนไปตามแนวเส้นกระดูกเท้า  แล่นไป  ผ่านข้อกระดูกนิ้ว แล้วลมวิ่งออกปลายเท้า
       เมื่อเรากดนวดไล่ลมไปเรื่อยๆ ลมก็จะค่อยๆเคลื่อนไหลไปออกที่ปลายเท้า ค่อยๆเคลื่อนไปด้านบนร่างกาย ไปออกที่แขน
      และในที่สุดลมก็จะค่อยๆเคลื่อนไหลออกปลายเท้า ปลายมือ และลมจะเคลื่อนออกที่ศรีษะ โดยพร้อมเพรียงกัน ในเวลาเดียวกัน
       เมื่อเรากดนวดไล่ลมจนลมเคลื่อนไหลออกที่ศรีษะแล้ว แนวเส้น ทั้งซีกของร่างกายที่เรากดนวด การกระทุ้งการไหลเวียนของลมในแนวเส้นจะสมบูรณ์ กลับมาปกติ รูขุมขนที่อุดตันก็จะคลายออก ลมก็จะสามารถไหลเวียนออกนอกร่างกายตามรูขุมขนได้ตามปกติ
        สำหรับพลังงานที่ซึมซับเข้ามา แล้วเก็บสั่งสมอยู่ในแนวเส้นทั่วร่างกาย เก็บสั่งสมอยู่ในช่องท้อง อยู่ในกระโหลกศรีษะ พลังงานพวกนี้ทำให้ร่างกายเราเกิดอาการร้อนแต่ไม่มีไข้ เมื่อเรากดนวดทำให้ลมในเส้นเคลื่อนไหล ออกนอกร่างกายตามรูขุมขนทั่วร่างกายได้ จะเกิดการแพร่ของลม เป็นการไหลของลมตามแนวเส้น จากที่ๆยังมีความหนาแน่นของลมที่สูงกว่า เคลื่อนไหลไปตามแนวเส้นที่มีความหนาแน่นของลมต่ำกว่า   
        คือลมที่อยู่ในแนวเส้น ส่วนบนของร่างกายก็จะมีการไหลลงมาแทนที่บริเวณขาท่อนที่ถูกกดนวด และจะถูกดึงให้ไหลลงปลายเท้า แล้วออกนอกร่างกายไป
      เมื่อลมเคลื่อนออกที่รูขุมขนได้ ลมคือพลังงานที่มีอยู่แล้วในร่างกาย ก็จะนำพาพลังงานต่างๆที่เคยเข้ามาและสั่งสมเก็บไว้ เช่น
      อาการเริ่มจากด้านล่างขึ้นไปด้านบนลำตัว พลังงานจะเข้ามาทางฝ่าเท้า เช่นการเดิน การยืน การกระโดด การนั่งนานๆ ล้มก้นกระแทก ล้มหลังฟาดพื้น ฯลฯ ( นวดแก้โดยท่านอนคว่ำ )
      อาการเริ่มจากด้านล่างขึ้นไปด้านบนลำตัว พลังงานเข้ามาทางหลังเท้าและตาตุ่ม เช่น อาการขาพลิก ขาแพลง ตึงหน้าแข้ง เข่ามีเสียง เมื่อยหน้าขา เส้นท้องตึง ฯลฯ  ( นวดแก้โดยท่านอนหงาย )
      อาการเริ่มจากด้านบนเคลื่อนลงมาด้านล่างลำตัว พลังงานเข้ามาทางศรีษะ บ่า ไหล่ แขน มือ อาการทุกอย่างที่เริ่มมาจากด้านบนคอบ่าไหล่ จะเคลื่อนลงมาที่สะบัก แนวหลังใต้แนวสะบัก แนวตัดขวางเข้าเอว แนวกระเบนเหน็บ แนวข้างขาด้านใน แนวหน้าแข้งด้านใน แนวตาตุ่มด้านใน แนวร่องเส้นใต้ฝ่าเท้าบริเวณนิ้วโป้ง-นิ้วชี้ ทำให้เกิดอาการหมอนรองกระดูกเคลื่อนทับเส้นประสาทแขน-ขา ( นวดแก้โดยท่านอนตะแคง )
     อาการที่เริ่มจากมือ แขน บ่า เช่น ล้มแขนยันฟื้น แขนกระชาก ( นวดแก้โดยท่านอนหงาย-นวดแขน )
    อาการที่เริ่มจากศรีษะ ( นวดแก้โดยท่านั่ง นวดคอบ่าไหล่ )
           เมื่อเรากดนวดไล่ลม ให้ลมไหลเวียนออกนอกกายได้ ลมจะดึงพลังงานเหล่านี้ออกไปด้วย อาการเรื้อรังต่างๆก็จะค่อยๆคลายออกไป แต่สิ่งที่เห็นและสัมผัสได้แน่ๆคือ พลังงานที่สั่งสมมาค่อยๆลดลงไป อาการตัวร้อนรุมๆแต่ไม่มีไข้ ก็จะคลายแล้วหายในขณะนั้นเลย       
                                                       
                02 พฤษภาคม 2562