วันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2561

ลมกับพลังงาน ( ตอน 2 )

ลมกับพลังงาน ( ตอน 2 )

           เป็นคำถามเด็ดที่ชอบถามผู้ป่วยที่มีอาการเกี่ยวกับธาตุลม ลมไม่ไหลเวียนออกนอกกาย โดยถามว่า ขณะที่เรามีอาการเจ็บป่วยนี้ เรารับรู้ หรือมีความรู้สึกว่าร่างกายเรา มีอาการร้อนอยู่ข้างใน ร้อนจนกระทั่งคนที่อยู่ข้างเคียง ยังมีความรู้สึก และรับรู้ว่าในร่างกายเรามีความร้อนมากกว่าปกติ และน่าจะเป็นไข้
            บางคนว่า มีอาการร้อนใน แต่ก็น่าแปลกที่ไม่มีแผลร้อนในในปาก พยายามกินยา กินสมุนไพรเช่นน้ำใบย่านาง ฟ้าทลายโจร  ยาเขียว ยาขม  กินแล้วอาการตัวร้อนก็ไม่ดับลง
             ที่สำคัญ เมื่อทำการวัดไข้ด้วยปรอทวัดไข้  ผลออกมาคือไม่มีไข้ ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น 
               
               ธาตุดินน้ำลมไฟ เป็นธาตุหลักๆของร่างกาย
      ธาตุดิน เราจับต้องได้ เรามองเห็น เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์สามารถตรวจวัดได้ เช่นกล้ามเนื้อ อวัยวะต่างๆ เส้นเลือด ฯลฯ
      ธาตุน้ำ เราจับต้องได้ เรามองเห็น เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์สามารถตรวจวัดได้  เช่น น้ำเลือด น้ำเหลือง ปัสสาวะ ฯลฯ
      ธาตุลม เราจับต้องไม่ได้ เราไม่เห็น  เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ไม่สามารถตรวจวัดได้  เช่น ลมแล่นในแนวเส้น ลมในช่องท้อง ลมในกระโหลกศรีษะ ฯลฯ
      ธาตุไฟ เราจับต้องไม่ได้ เราไม่เห็น  บางกรณีที่เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ไม่สามารถตรวจวัดได้  เช่น ธาตุไฟที่กำเริบขึ้นมาจากการที่ธาตุลมไม่สมดุล ไม่ไหลเวียน  ฯลฯ

          ที่เกริ่นนำมานี้ เป็นเพียงแค่ข้อสังเกตุว่า การที่ธาตุดิน และธาตุน้ำ เป็นธาตุที่เราสัมผัสได้ เห็นได้ การบำบัดรักษากล้ามเนื้อที่อักเสบ หรือบำบัดอาการติดเชื้อในกระแสเลือด ทั้งสองตัวอย่างนี้ คือธาตุดินธาตุน้ำ เมื่อนำปรอทวัดไข้มาทดสอบ ตัวปรอทวัดไข้นี้ก็เป็นวัตถุที่สัมผัสได้ ก็จะสามารถตรวจวัดอุณหภูมิที่สูงขึ้นได้ จนสามารถสรุปได้ว่าผู้ป่วย มีอาการเป็นไข้
           ส่วนในกรณีที่เรามีอาการขัดของลม ลมไม่ไหลเวียนออกนอกร่างกาย จนทำให้พลังงานที่เคยสั่งสมอยู่ภายใน เพิ่มมากขึ้นจนร่างกายเรามีความร้อนเกิดขึ้น บางคนร้อนวูบวาบ ผ่าวๆ ปวดแสบปวดร้อน ร้อนจนกระทั่งไปอาบน้ำแล้วตัวยังไม่หายร้อน และร้อนจนกระทั่งคนรอบข้างยังรู้ว่าร่างกายเราร้อนวูบวาบอยู่ภายใน
            แต่ในกรณีการขัดของลมนี้ ต่อให้ร่างกายเรา จะร้อนผ่าวมากเท่าใด ปรอทวัดไข้ก็ไม่สามารถตรวจวัดความร้อนเกิน 37องศาได้ จึงได้ผลตรวจว่า ปกติ ไม่มีไข้
               ที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากเครื่องไม้เครื่องมือที่เป็นวิทยาศาสตร์ เป็นธาตุดิน ธาตุน้ำ จึงสามารถตรวจวัดธาตุลม ธาตุไฟในร่างกายเราได้

               เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ ไม่สามารถสัมผัส ตรวจวัด บำบัดอาการขัดของธาตุลม และธาตุไฟที่มีปัญหาอยู่ จึงเป็นที่มาของอาการตัวร้อนแต่ไม่มีไข้  เพียงแค่ทำให้ลมไหลออกนอกร่างกายได้ ความร้อนนี้ก็จะค่อยๆดับลงไป ในขณะเวลาที่นวดนั้นเอง   
                                                                                                                  30 สิงหาคม 2561

วันอังคารที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2561

ลมกับพลังงาน ( ตอน1)

ลมกับพลังงาน ( ตอน1 )

           ” นวดไล่ลม “   ผมเริ่มใช้คำว่านวดไล่ลม เมื่อ12ปีที่แล้ว คำนิยามของคำว่า “ นวดไล่ลม “ ของผมในเวลานั้น หมายถึงการกดนวดที่ทำให้ลมไหลร้อน วิ่งออกจากร่างกายเราไปได้ ก็จะทำให้ร่างกายเราเบาสบาย
          ตลอดเวลา 13ปี ที่ใช้การกด นวดไล่ลม บำบัดให้ผู้ป่วย ในอาการต่างๆ จนมีความเข้าใจในความหมายของคำว่า “นวดไล่ลม” มากขึ้น และมีความเข้าใจที่ลึกซึ้งมากขึ้นกว่าเดิมว่า เป็นการกดนวดเพื่อปรับสมดุลของธาตุทั้งสี่ โดยเน้นที่ธาตุลม ทำให้ธาตุลมในร่างกายไหลเวียนเป็นปกติ คือทำให้ลมไหลเวียนเข้าและออกนอกร่างกายเราได้เป็นปกติ  เมื่อลมไหลเวียนออกนอกร่างกายได้ดีขึ้น พลังงานที่เคยซึมซับเข้ามา และได้สั่งสมอยู่ภายในร่างกายเรา ก็จะไหลตามลม ออกนอกร่างกายไปด้วยกัน 

       เวลาที่เรามีอาการเจ็บป่วย เราชอบพูดคำว่าลมเยอะ ลมแน่นท้อง ฯลฯ  ลองมาคิดดู ว่าร่างกายของเราลมเยอะแค่ไหน
        ถ้าเปรียบร่างกายเราคือลูกโปร่ง ถ้าเราเป่าลูกโปร่งให้ใหญ่เต็มใบ ลูกโปร่งจะแข็ง ต้านมือ บีบไม่ลง เป่าลมเข้าไปอีกหน่อยลูกโปร่งก็แตก นั่นแสดงว่าผิวลูกโปร่งรองรับลมภายในได้แค่ขนาดลูกโปร่งโตเต็มใบเท่านั้น ถ้าเพิ่มลมเข้าไป ผิวลูกโปร่งยืดหยุ่นไม่ได้แล้ว ลูกโปร่งจึงแตก
       สำหรับร่างกายคน ลมในร่างกายเรามีไม่มากไปกว่ารูปร่าง ขนาดร่างกายเรา  ผิวกายเรามีความยืดหยุ่นมากกว่าผิวลูกโปร่ง ผิวกายเราก็จะไม่ระเบิด ฉีกขาดเหมือนผิวลูกโปร่ง  ถ้าลมในร่างกายมีมากเกินปกติ ผิวหนังที่ยืดหยุ่นได้ ก็จะขยายตัวออก เราจึงมีความรู้สึกว่าตัวบวมขึ้น หน้าท้องโตขึ้น มีความอึดอัดมากกว่าเมื่อก่อน แต่ลมก็มีขนาดไม่โตเกินกว่าขนาดร่างกายเรา
       ยิ่งลมไหลเวียนออกนอกร่างกายไม่ได้นานเท่าใด ความดันลมและพลังงานที่ขัดอยู่ตามแนวเส้น ในช่องท้อง ในกระโหลกศรีษะ หรือทุกๆอณูของร่างกายที่ธาตุลมขัดอยู่ ก็จะยิ่งมีมากขึ้นเป็นเงาตามตัว ยิ่งนานวันอวัยวะที่โดนลมและพลังงานกดทับก็จะเสียสภาพการทำงาน
        และถ้าเราคลายลมและพลังงานเหล่านี้ให้ออกไปได้ การทำงานของกล้ามเนื้อ และกล้ามเนื้ออวัยวะต่างๆก็จะฟื้นคืนสภาพ กลับมาทำงานได้เหมือนปกติ

                                                 
28 สิงหาคม 2561

วันพฤหัสบดีที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2561

ธาตุลมกับพลังงาน

ธาตุลมกับพลังงาน

          นวดไล่ลม ถ้าอธิบายตามรูปแบบของการนวด เราจะเห็นข้อแตกต่างของการนวดไล่ลม และการบำบัดในแนวทางต่างๆ เพราะการนวดไล่ลมนี้ เป็นการนวดปรับธาตุทั้งสี่ของร่างกายเรา โดยเน้นที่ธาตุลมเป็นหลัก อาการบาดเจ็บ และการเจ็บป่วยเรื้อรังต่างๆในร่างกายเรา ถ้าเราไม่เคยบำบัด ทำให้ธาตุลมไหลเวียนออกนอกร่างกายเรา การบำบัดครั้งนั้นก็ยังไม่สามารถ นำพาพลังงานที่เคยกระทบเข้ามา ให้ไหลออกไปนอกร่างกายเราได้เช่นกัน

        ลมในกายเราไม่ได้มีปริมาณมากเกินกว่าขนาดของตัวเรา
        ลมในกายเรามีมากที่สุดก็แค่ขนาดร่างกายเรา ลมในกายเรามากที่สุดไม่เกินความยืดหยุ่นของผิวหนังเรา

        การนวดเส้น คือการนวดเส้นที่มีเลือดและลมแล่นอยู่ ลมในร่างกายเราเคลื่อนไหลไปตามแนวเส้น ลมเป็นพลังงาน แล้วเมื่อพลังงานจากภายนอกพุ่งกระทบเข้ามาในร่างกาย ลมที่แล่นอยู่ภายในแนวเส้น เป็นเพียงแค่พาหนะ นำพาพลังงานที่กระแทกเข้ามาให้เคลื่อนไหลไปตามแนวเส้น แล้วเก็บสั่งสมไว้ตามแนวเส้น
       พลังงานที่เก็บสั่งสมอยู่ในร่างกายตามแนวเส้น จะเคลื่อนไหลออกนอกร่างกายได้ต่อเมื่อ ลมที่ไหลในแนวเส้นนำพาให้พลังงาน เคลื่อนไหลออกนอกร่างกายตามรูขุมขนได้เป็นปกติ
         คนมีอาการขัดของลมในร่างกาย หรืออีกนัยหนึ่ง คือการที่ลมในร่างกายไหลเวียนไม่ปกติ ลมไม่สามารถไหลเวียนผ่านออกไปตามรูขุมขนต่างๆได้  พลังงานที่กระทบเข้ามาในร่างกายแล้วสั่งสมอยู่ภายใน พลังงานนั้นๆก็ไม่สามารถไหลเวียนผ่านออกไปตามรูขุมขนต่างๆได้เช่นกัน
        จึงเป็นเหตุให้ร่างกายเรา มีความอึดอัด แน่น ร้อนผ่าวๆอยู่ภายใน ร้อนโดยไม่เป็นไข้ อาการต่างๆนี้ถ้าพลังงานไม่สามารถคลายออกได้ จะกี่เดือนกี่ปี ก็จะเหมือนภูเขาไฟที่รอวัน ที่จะระเบิดออกมา

                                                                                  22 สิงหาคม 2561

วันพฤหัสบดีที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2561

ช้ำข้างใน

ช้ำข้างใน

         ความไม่ปกติของธาตุใดธาตุหนึ่งในร่างกาย เมื่อเกิดความไม่สมดุลของธาตุนั้นแล้ว จะบานปลายไปกระทบกับธาตุอื่น ให้เกิดความไม่สมดุลไปด้วย ทำให้ร่างกายเกิดการเจ็บป่วย ธาตุในร่างกายเรา ในสภาวะที่สมดุล ธาตุทั้งสี่ต้องไหลเวียนเข้า-ออก ร่างกายได้  เช่น
      ธาตุดิน เรากินอาหาร เราก็ต้องขับถ่ายอุจจาระออกมา
      ธาตุน้ำ เราดื่มน้ำ เราก็ต้องขับถ่ายปัสสาวะออกมา
      ธาตุลม เราหายใจเข้าทางจมูก เพื่อนำออกซิเจนเข้ามาทางปอด และหายใจออกเพื่อนำคาร์บอนไดออกไซด์ ให้ออกไปนอกร่างกาย
       ธาตุไฟ ในสภาวะปกติอุณหภูมิในร่างกายเรา 37องศา ถ้าเรามีการอักเสบของกล้ามเนื้อ ติดเชื้อในกระแสเลือด อุณหภูมิร่างกายเมื่อมีการเสียสมดุลของธาตุดินและธาตุน้ำ เราสามารถใช้ปรอทวัดไข้ วัดอุณหภูมิที่สูงขึ้นได้ แต่ถ้าเกิดการเสียสมดุลของธาตุลม แล้วธาตุไฟกำเริบขึ้น เราจะรู้สึกร้อนผ่าวๆในร่างกาย แต่ปรอทวัดไข้ไม่สามารถตรวจจับอุณหภูมิที่สูงขึ้นนี้ได้

       ทั้งนี้เพราะธาตุลม เป็นธาตุที่เราเห็นไม่ได้ด้วยตา เครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆ ก็ไม่สามารถทำให้การไหลเวียนของธาตุลมให้กลับมาปกติคือ  ธาตุลมเข้าและออกนอกร่างกายเราได้ตามรูขุมขน ทั่วร่างกาย สำหรับลมหายใจที่ผ่านเข้ามาทางจมูกก็เป็นการนำออกซิเจนให้เข้ามาฟอกเลือดดำที่ปอด และนำคาร์บอนไดออกไซด์ให้ออกไปนอกร่างกายเท่านั้น

       เมื่อกล้ามเนื้อเราแข็งแรง เส้นตึง อาจจะเกิดจากอุบัติเหตุ การชนกระแทก การกระชาก หรือการบาดเจ็บทางร่างกายใดๆ ทำให้การไหลเวียนของลมที่ไหลเข้ามาตามรูขุมขน เข้ามาแล้วไม่สามารถเคลื่อนไหลออกนอกร่างกายตามรูขุมขนได้ สภาวะเช่นนี้ร่างกายเราเหมือนลูกโปร่งที่เป่าจนค่อยๆโต จนใหญ่เต็มใบ ลมในร่างกายก็เหมือนกัน ลมคลายออกมาไม่ได้ จึงบวมเป่งไปทั่วร่างกาย
       ร่างกายเราธาตุดินน้ำลมไฟ ก็มีขนาดที่ไม่โต ไม่ใหญ่เกินขนาดของร่างกาย ธาตุลมในร่างกายก็มีปริมาณเท่าขนาดร่างกายเรา แต่พลังงานที่สะเทือนเข้ามาในร่างกายเรานั้น เข้ามาทุกทิศทุกทาง จากระยางต่างๆ ศรีษะ แขน ขา เข้ามาทางทวารต่างๆ  และเข้ามาตามรูขุมขนทั่วร่างกายเรา พลังงานเข้ามาจากทุกๆอิริยาบท ทุกๆการกระทำของเรา
         ดังนั้นเมื่อธาตุลมในร่างกายเราเป็นเพียงแค่พาหนะ นำพาพลังงานอื่นๆเข้ามาในร่างกาย เมื่อเกิดการขัดของธาตุลม ลมไม่สามารถไหลเวียนออกนอกร่างกาย ตามทวาร ตามรูขุมขนต่างๆ พลังงานนั้นแหละที่เป็นตัวทำให้ธาตุไฟกำเริบ เมื่อสั่งสมพลังงานมากขึ้นเรื่อยๆ จะเกิดความร้อนขึ้นในร่างกาย แต่ความร้อนนี้ไม่สามารถตรวจวัดได้ด้วยปรอทวัดไข้ และเมื่อเรานวดไล่ลม ทำให้ลมที่ขัดอยู่ในร่างกาย ให้สามารถไหลเวียน วิ่งร้อนออกตามรูขุมขนตามแนวเส้นต่างๆได้ พลังงานก็จะเคลื่อนไหลออกนอกร่างกายเรา อาการตัวร้อนลุ่มภายใน ก็จะค่อยๆดับลง ในเวลานั้นเอง
       
      พลังงานเหล่านี้สะเทือนเข้ามาแล้วสั่งสมอยู่ในร่างกาย เมื่อลมไม่ไหลเวียนออกนอกร่างกาย พลังงานก็จะสะสมอยู่ตามแนวเส้น มีผลทำให้แนวเส้นบวมพอง โตขึ้นมา แล้วจะค่อยๆแผ่กระจายไปยังแนวเส้นที่ต่อเนื่องกันอยู่ แผ่ไปยังกล้ามเนื้อ ไปยังอวัยวะต่างๆ ไปกดทับอวัยวะต่างๆทำให้อวัยวะนั้นเสียสภาพการทำงานชั่วคราว อาการร้อนแต่ไม่มีไข้ก็จะเกิดขึ้น
         พลังงานที่กระแทกเข้ามาเมื่อตอนเราเป็นเด็กเวลา 20ปี 30ปีผ่านไป พลังงานที่เข้าไปยังสั่งสมอยู่ พลังงานไม่ได้หายไปไหน ฝังลึกอยู่ภายในแนวเส้น

      อาการที่เรากระโดดจากที่สูงแล้วปวดหลัง เวลา20ปีผ่านไป พลังงานที่เข้าไปก็ยังฝังลึกอยู่
      อาการขาพลิกขาแพลง เคยบวมที่ตาตุ่ม เวลา20ปีผ่านไป พลังงานที่เข้าไปก็ยังอยู่
       อาการรถชน ศรีษะกระแทก ศรีษะบวม ตึง ปวด  เวลา 20ปีผ่านไป พลังงานที่เข้าไปก็ยังฝังลึกอยู่
        อาการล้มก้นกระแทก ปวดขึ้นกลางสันหลัง   เวลา20ปีผ่านไป พลังงานที่เข้าไปก็ยังฝังลึกอยู่   
         อาการลื่นล้ม หลังฟาดพื้น เวลา20ปีผ่านไป พลังงานที่เข้าไปก็ยังฝังลึกอยู่
          อาการคอบ่าไหล่ สะบักจม เวลาผ่านไป 20ปี พลังงานที่เข้าไปก็ยังฝังลึกอยู่

            พลังงานที่กระทบเข้ามาในร่างกาย ธาตุลมในร่างกายเป็นแค่ตัวนำพาพลังงานให้เคลื่อนไหลไป การที่ลมในร่างกายไม่สามารถเคลื่อนไหลออกนอกร่างกายได้ พลังงานที่เข้ามาจึงไม่สามารถเคลื่อนไหลออกไปด้วยเช่นกัน พลังงานที่สั่งสม ทับถมอยู่ในแนวเส้น จึงฝัง อัด ลึกเข้าไปในแนวเส้น นานวันเข้าพลังงานสั่งสมมากเกิน จนแนวเส้นไม่สามารถรับได้ จะเกิดอาการปวดลึกจากข้างบนใต้ผิวหนัง ลงลึกไปถึงแนวเส้นด้านล่างที่พลังงานสั่งสมมาเป็นเวลาสิบๆปี คืออาการปวดเข้ากระดูก หรือปวดลึกๆ หรืออาการช้ำข้างในนั่นเอง
                                                                                                            16 สิงหาคม 2561

วันพฤหัสบดีที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2561

เมื่อหลังกระแทกแผ่นน้ำ

เมื่อหลังกระแทกแผ่นน้ำ       
                       
     ผู้ป่วยชายรายหนึ่ง อายุประมาณ35ปี มาบำบัดด้วยอาการ กลืนอาหารไม่ค่อยได้ หายใจไม่ทั่วท้อง ทานอาหารแล้วไม่ย่อย กรดไหลย้อน  มีอาการเปรี้ยวขมขึ้นมาที่ลำคอ ปวดและเป็นแผลที่กระเพาะอาหาร  จุกเสียดแน่นที่ลิ้นปี่ มีอาการเดินตัวเกร็งแข็ง  บ่า-ไหล่ห่อ นั่งแล้วแอ่นตัวไปข้างหลังไม่ได้ อาการเช่นนี้เริ่มเป็นมาประมาณ1ปี
      จากการสอบถาม ทราบมาว่าไม่เคยได้รับอุบัติเหตุจากการกระโดดจากที่สูง แต่เมื่อตอนเด็กอายุ 13ปี  คือ 22ปีที่ผ่านมา ผู้ป่วยเคยกระโดดน้ำ แล้วเกิดอุบัติเหตุ แผ่นหลังกระแทกกับพื้นน้ำ ทำให้เวลานั้นเกิดอาการปวดหลัง แต่ไม่เคยไปรับการรักษาที่โรงพยาบาล และอาการปวดหลังนี้ก็ยังคงมีมาถึงปัจจุบัน ถึงขนาดว่าเมื่อนั่งขัดสมาธิจะแอ่นหลัง หรือเอนกายไปด้านหลังไม่ได้เลย จะตึงและเจ็บมาก
       แต่เมื่อปีที่แล้วเริ่มมีอาการจุกเสียดที่ลิ้นปี่ ท้องแน่น เริ่มมีอาการกรดไหลย้อน  ทานอาหารแล้วไม่ย่อย  ระยะหลังนี้เมื่อท้องยังอืดอยู่ ทานอาหารใหม่เข้าไปจะมีอาการปวดที่กระเพาะ และเปรี้ยวขมล้นขึ้นมาที่ลำคอ เข้ารับการรักษาอาการกรดไหลย้อนแล้วก็ไม่ดีขึ้น ทำให้ซูบผอมลงมาน้ำหนักลดลงมาหลายกิโล

      เมื่อทราบอาการเบื้องต้น การใช้ชีวิตประจำวันและอุบัติเหตุที่ได้รับ จึงวิเคราะห์ว่าสาเหตุเริ่มต้นของอาการผู้ป่วยนี้ น่าจะเริ่มมาตั้งแต่การที่แผ่นหลังกระทบ ฟาดเข้ากับพื้นน้ำ ซึ่งทำให้เกิดอาการปวดหลังตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา
      ผู้ป่วยไม่มีอาการตะคริวขึ้นที่น่อง อาการโดยรวมเป็นที่เส้นหลังติดกระดูกสันหลัง พลังงานสะท้อนเข้ามาในร่างกายบริเวณแผ่นหลัง จึงสะเทือนเข้าไปในช่องท้อง อาการเรื้อรังจึงเกิดขึ้นบริเวณแนวลำตัว ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ปวดหลังปวดเอว หลังแข็ง เอี้ยวตัวลำบาก ลมแน่นท้อง จุกเสียดที่ลิ้นปี่ หายใจไม่ทั่วท้อง เหนื่อยง่าย อาหารไม่ย่อย ในที่สุดก็มีอาการกรดไหลย้อน
        ผู้ป่วยมีอาการเส้นท้องตึง ระบบการย่อยของกระเพาะอาหารเสียสภาพไป ลมในช่องท้อง (พลังงาน) ห้อมล้อมแล้วไปกดทับอวัยวะในช่องท้อง กระเพาะอาหารก็โดนพลังงานมากดทับ มาบีบด้วย ทำให้หดแล้วขยายตัวไม่ขึ้น พลังงานกลของกระเพาะอาหารเสียสภาพไป การคลุกเคล้าน้ำย่อยและอาหารที่ทานเข้าไปใหม่ก็เสียสภาพไป ทำให้อาหารไม่ย่อย ท้องอืด ระบบการย่อยเสียสภาพชั่วคราวไปทั้งหมด

       เริ่มต้นได้เน้นบำบัด นวดไล่ลมโดยเน้นที่ท่านอนคว่ำ ท่านอนตะแคง และท่านั่ง เป็นหลัก เพราะอาการนี้พลังงานกระแทกเข้ามาที่แผ่นหลัง เมื่อไม่เคยนวดไล่ลม ให้ลมไหลออกนอกร่างกาย พลังงานจึงไม่สามารถเคลื่อนไหลออกมาด้วย เกิดการสั่งสมพลังงานมาตลอดเวลา 22 ปี ตามแนวเส้นหลัง และแนวหลังใต้แนวสะบัก แนวร่องสะบักกับกระดูกสันหลัง
       หลังจากที่เริ่มนวดไล่ลม เริ่มที่เส้นขาด้านหลังท่อนบน เส้นขาด้านหลังท่อนล่าง (น่อง) เส้นข้างขาด้านใน เส้นหน้าแข้งด้านใน
      เรากดนวดไล่ลมในแนวขา เพื่อนำพาลมและพลังงานให้ไหลออกนอกร่างกายที่ข้อหัวเข่า ข้อตาตุ่ม ข้อเท้า ข้อกระดูกเท้า ข้อนิ้วเท้าต่างๆ ให้ลมหรือพลังงานออกที่ทวารหนักทวารเบา และให้ลมและพลังงานไหลออกตามรูขุมขนที่กระทุ้งจนโล่ง จนไหลร้อนออกไปทั่วแนวเส้นขาที่กดนวด
       แล้วมากดนวดไล่ลมที่แนวข้างขาด้านใน และแนวข้างขาด้านนอก ให้ไหลร้อนออกตามข้อ ตามรูขุมขนทั่วแนวเส้นขาที่กดนวด
       นวดในท่านั่ง นวดคอ-บ่า-ไหล่ เพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อปรับธาตุดินและธาตุน้ำ ให้มีความยืดหยุ่น นิ่มลง เลือดและลมจะได้ไหลเวียนดีขึ้น เผื่อให้พลังงานคลายออกที่ปากโดยการหาวหรือเรอ
        กดช่องท้อง รอบๆสะดือ บริเวณจุดเริ่มต้นเส้นประธานสิบ

         ในขณะที่เรากดนวดไล่ลมที่ขาท่อนบนและขาท่อนล่าง เมื่อลมและพลังงานไหลลงไปที่ปลายเท้า ลมและพลังงานจะไหลออกตามรูขุมขน ยิ่งวิ่งร้อนออกมาก รูขุมขนก็ยิ่งถูกกระทุ้งให้เปิดมาก พลังงานที่สั่งสมอยู่ในแนวเส้นก็ทยอยไหลนอกร่างกายเรา พลังงานที่แนวขามีความหนาแน่นน้อยลงไปเรื่อยๆ  อาการตามแนวเส้นขาจะเบาโล่งขึ้น
       ในขณะเดียวกันความหนาแน่นของพลังงานตามแนวเส้นที่อยู่ด้านบน คือแนวหลัง เอว ช่องท้อง บ่า ไหล่ จะเกิดการแพร่ของพลังงาน พลังงานไหลลงไปตามแนวเส้นขาที่กดนวดอยู่ และไหลตามแรงเฉื่อยให้ไปออกตามข้อ ตามรูขุมขนที่พลังงานวิ่งร้อนออก ทำให้แนวหลัง แผ่นหลัง ช่องท้องพลังงานค่อยๆคลายตัวออก บริเวณลำตัวจะเบาลงในระดับหนึ่ง
        ในช่องท้องเมื่อพลังงานเริ่มคลายตัวออก พลังงานไม่มีกำลังพอไปบีบ กดทับอวัยวะ ทำให้อวัยวะในช่องท้องที่เคยเสียสภาพการทำงานก็จะค่อยๆกลับมาทำงานได้ดีขึ้น และเป็นปกติในที่สุด
        ผู้ป่วยมานวดบำบัดอาการทั้งหมด3ครั้งแล้ว มาครั้งแรกอาการแผ่นหลังเบาขึ้น การย่อยอาหารยังไม่ชัดเจน การเอนตัวไปด้านหลังยังไม่ชัดเจน 
       ครั้งที่2หลังบำบัดไป ผู้ป่วยอาการแผ่นหลังเบามากขึ้น อาการจุกเสียดที่ลิ้นปี่น้อยลง การย่อยอาหารเริ่มทานได้แล้ว ลำคอไม่เปรี้ยว กระเพาะอาหารเริ่มย่อยอาหารดีขึ้น อาการกรดไหลย้อนลดลง การเอนตัวไปด้านหลังไปได้มากขึ้นไม่ตึงเจ็บ 
         ครั้งที่3 หลังบำบัดไป อาการโดยรวมดีขึ้นกว่าครั้งที่แล้วอีก
                                                                                                   
10 สิงหาคม 2561

------------
ลองอ่านดูเรื่องนวดครับ ส่งต่อได้ครับ
www.amazingthaimassage.blogspot.com

เบอร์โทร
Dtac 086-775-7333.
True H 083-046-7409

Line ID
  thiti.d.com
  หรือเบอร์โทร 0867757333

FaceBook ----  Thiti
 Suppachokkarnkul

FaceBook Page  นวดไล่ลม

FaceBook Group  นวดไล่ลม

ธิติ ศุภโชติการกุล
เลขที่ 81/494.
มบ.วิเศษสุขนคร ซอย8 ถนนประชาอุทิศ ซอย79
แขวง-เขตทุ่งครุ
 กทม 10140

วันศุกร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2561

นวดไล่ลมกับอาการนิ้วล็อค ( 2 / 2 )

นวดไล่ลมกับอาการนิ้วล็อค ( 2 / 2 )

 การบำบัดอาการนิ้วล็อค นิ้วตึง
       เมื่อเราทราบภาพรวมของอาการขัดของลม อาการที่พลังงานไม่ไหลออกนอกร่างกาย อาการบวมของแนวเส้น  ต่อไปก็จะกล่าวถึงแนวทางและขั้นตอนที่จะใช้นวดบำบัด เราจะนวดบำบัดที่แนวเส้นขาท่อนบนก่อน โดยบำบัดตามอาการดังนี้

1. เมื่ออาการนี้มีจุดเริ่มต้นของอาการมาจากส่วนบนของร่างกาย อาการที่เกิดจากพลังงานเคลื่อนเข้ามาทางศรีษะ คอ บ่า ไหล่ แขน มือ แนวเส้นที่ใช้บำบัดคือท่านอนตะแคง  กดนวดเพื่อให้ลมไหลออกนอกร่างกาย เราจะกดนวดที่แนวข้างขาด้านใน และแนวหน้าแข้งด้านในเป็นหลัก เพื่อที่จะทำให้ลมและพลังงานที่ได้เคยเคลื่อนลงมาสั่งสมตามแนวเส้นนี้ พลังงานยังไม่ได้เคลื่อนออกนอกร่างกายเราไป เรานวดเพื่อให้พลังงานในแนวด้านบนของร่างกาย ไหล เป็นการแพร่ของพลังงาน ให้เคลื่อนไหลออกนอกร่างกาย ไปกับลมที่ไหลออกตามรูขุมขน

2. นวดท่านอนคว่ำ เป็นพลังงานที่เข้ามาทางด้านล่างของร่างกาย จากฝ่าเท้า ส้นเท้า กลางปลีน่อง แก้มก้น แนวเส้นข้างกระดูกสันหลัง ตั้งแต่ก้นกบจนถึงกระดูกคอ และในช่องกระโหลกศรีษะ การกดนวดแนวนี้เพื่อให้พลังงานในแนวเส้นข้างกระดูกสันหลัง ให้เคลื่อนไหลมาออกที่ด้านล่างที่ขา เพื่อลดอาการบวมตึงของแนวเส้น ให้แฟบลงมา มีผลทำให้การกดทับเส้นประสาทแขน และขา น้อยลงไปเรื่อยๆ
3. นวดท่านั่ง เพื่อนวดแนวร่องสะบักและกระดูกสันหลัง  นวดแนวบ่า  เป็นการนวดคลาย เป็นการปรับสมดุลธาตุดิน ธาตุน้ำ ทำให้การไหลเวียนของเลือด-ลมบริเวณแนวร่องสะบัก แนวบ่าไหล่ไหลเวียนดีขึ้น
4. นวดท่านอน นวดแขน
   เส้นแนวนิ้วโป้ง นิ้วกลาง นิ้วชี้ เป็นอาการที่มาจากการใช้มือเป็นหลัก การใช้งานนิ้วมือ ใช้งานอุ้งมือ ใช้งานข้อมือ แขนโดนกระชาก การขว้างของแรงๆ   -----  พลังงานจะเข้ามาสุดที่โคนแขน ด้านหน้า บริเวณไหปลาร้า ผ่านเต้านม ไปถึงกลางแผ่นหน้าอก แนวนี้เป็นแนวที่บำบัดอาการนิ้วตึงแข็ง นิ้วล็อค นิ้วบวมที่นิ้วโป้ง นิ้วชี้ นิ้วกลาง  อาการก้อนลมที่เต้านม  อาการเมื่อยขบที่กราม
       
   เส้นแนวนิ้วก้อย นิ้วนาง เป็นอาการที่เกิดจากพลังงานที่เข้ามาโดยการโดนชน กระแทกที่มือ เช่น หกล้มแล้วใช้มือยันที่พื้น การยกสิ่งของที่หนัก พลังงานจะเข้ามาสุดที่โคนแขน ด้านหลัง แนวสะบัก ไปสิ้นสุด ที่แนวกระดูกสันหลัง
        อาการที่เกิดจากแนวนี้ แบ่งเป็นสองกรณี
   1.อาการที่พลังงานที่กระทบเข้ามาตามแนวเส้นแขน ยังคงสั่งสมอยู่ตามแนวเส้นแขน บ่า สะบัก พลังงานเคลื่อนตัวไปยังไม่ถึงแนวกระดูกสันหลัง
   2.อาการที่พลังงานที่กระทบเข้ามาที่แนวเส้นแขน สั่งสมตามแนวเส้นแขน บ่า สะบัก พลังงานเคลื่อนตัวไปถึงที่แนวกระดูกสันหลังคอ แล้วเกิดการสั่งสมพลังงาน ทำให้แนวเส้นหลัง ตรงกระดูกสันหลังคอ บริเวณที่เส้นประสาทแขนเชื่อมต่อกับไขสันหลัง พลังงานไปสั่งสม โป่งพอง แล้วไปกดทับ ดันให้หมอนรองกระดูกคอ เคลื่อนไปทับเส้นประสาทแขน จนทำให้มีอาการแปลบ ปวดร้าว จนถึงมีอาการไฟช็อต ลงมาที่แนวแขน บริเวณใต้ท้องแขน ข้อศอก จนถึงแนวนิ้วก้อย

          อาการที่เกิดกับ คอ- บ่า-ไหล่-สะบัก-แขน-มือ-นิ้ว เป็นอาการที่เกิดจากส่วนบนของร่างกาย พลังงานจะค่อยๆเคลื่อนผ่านลงไปจนถึงนิ้วเท้า
    เราจึงต้องกดนวดที่ขาท่อนบน ขาท่อนล่าง ในท่านอนตะแคง เพื่อดึงพลังงานที่เคยเคลื่อนลงมาแล้ว และยังคงค้างอยู่ในแนวท่อนขา ให้ไหลออกนอกร่างกาย ตามข้อเข่า ข้อตาตุ่ม ออกตามข้อกระดูกเท้า และออกตามรูขุมขนขาที่เรากระทุ้งเปิดจนโล่งแล้ว จะช่วยบำบัดอาการหมอนรองกระดูกเคลื่อนทับเส้นประสาทขา

      ในท่านอนคว่ำ เพื่อดึงพลังงานที่เคยเคลื่อนลงมาแล้ว และยังคงค้างอยู่ในแนวท่อนขา ให้ไหลออกนอกร่างกาย ตามข้อเข่า ข้อตาตุ่ม ออกตามข้อกระดูกเท้า และออกตามรูขุมขนขาที่เรากระทุ้งเปิดจนโล่งแล้ว จะช่วยบำบัดอาการหมอนรองกระดูกเคลื่อนทับเส้นประสาทแขน

     เมื่อพลังงานสามารถเคลื่อนไหลลงไปออกด้านล่างได้ พลังงานที่ค้างคาอยู่ด้านบนร่างกาย ก็จะเกิดการเคลื่อนตัว เกิดการแพร่ ไหลลงมาแทนที่พลังงานบริเวณที่เรากดนวด  แล้วเกิดแรงเฉื่อยไหลตามพลังงานที่ไหลออกไปก่อน ออกไปตามรูขุมขุนที่เปิดโล่งด้วย
      การแพร่ของพลังงาน ไหลลงมาออกที่ปลายเท้า เป็นการระบายพลังงานที่สั่งสมอยู่ที่แนวเส้นข้างกระดูกสันหลัง จะนำพาพลังงานที่สั่งสมอยู่บริเวณ แนวข้างกระดูกสันหลังเอว แนวเอวตัดขวาง แนวหลังใต้แนวสะบัก และแนวข้างกระดูกสันหลังคอ ให้ไหลมาออกที่ส่วนล่างของร่างกาย  เมื่อพลังงานที่สั่งสมอยู่ด้านบนร่างกายน้อยลง เหมือนกับลูกโปร่งใบใหญ่ที่ค่อยๆปล่อยลมให้ใบเล็กลงมา พลังงานที่เคยสั่งสมอยู่ด้านบนก็จะค่อยๆน้อยลง แนวเส้นก็จะค่อยๆลดอาการบวมตึง การกดทับอวัยวะ กดทับกล้ามเนื้อ การกดทับหมอนรองกระดูกให้เคลื่อนไปทับเส้นประสาทขา หรือแขนก็จะน้อยลง

       การปรับสมดุลธาตุทั้งสี่ เพื่อบำบัดอาการนิ้วล็อค เมื่อเราสามารถนำพลังงานที่สั่งสมอยู่ในแนวเส้นแขน ให้ไหลออกไป โดยอาศัยการแพร่ของพลังงานให้ไหลออกที่ขา อาการบวม ตึง นิ้วงอไม่ได้  เมื่อการสั่งสมพลังงานน้อยลงไปเรื่อยๆ บำบัดไประยะหนึ่ง อาการนิ้วล็อคนิ้วแข็ง ก็จะค่อยๆคลายหายไปเอง

นวดไล่ลมกับอาการนิ้วล็อค ( 1 / 2 )

นวดไล่ลมกับอาการนิ้วล็อค ( 1 / 2 )
           
       ก่อนอื่นต้องขอทำความเข้าใจเกี่ยวกับ การเกิดขึ้น และแนวทางที่จะใช้บำบัด อาการนิ้วล็อค ปวดข้อมือ อุ้งมือ
      เป็นอาการที่เกิดขึ้นได้จากการใช้งานตามปกตินิสัยของระยางท่อนแขนเรา ทุกๆการใช้งานนิ้วมือ อุ้งมือ ข้อมือ ทุกๆอุบัติเหตุที่ทำให้อวัยวะ แขน มือของเราบาดเจ็บ จะมีพลังงานด้านนอกเคลื่อนไหลเข้ามาในร่างกายเรา จากปลายนิ้วมือ เข้ามาจนถึงโคนแขน พลังงานนี้จะเคลื่อนไหลเข้ามาในร่างกาย ไปกับการเคลื่อนไหลของลมที่แล่นอยู่ในแนวเส้น พลังงานนั้นๆก็จะเก็บสั่งสม ทับถมอยู่ในแนวเส้น ค่อยๆแผ่กระจายออกไปรอบด้าน ตามแนวเส้นที่พลังงานแคลื่อนไหลเข้ามา

การนวดเส้น คือการนวดเส้นที่มีเลือดและลมแล่นอยู่ 
     ดังนั้นการที่เลือด ( ธาตุน้ำ ) ไหลเวียนจากหัวใจ เลือดแดงไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายเราได้ เซลล์ในร่างกายได้รับสารอาหาร ได้รับออกซิเจน ร่างกายก็จะอยู่ในสภาวะปกติ
     เลือดดำก็จะนำของเสียและคาร์บอนไดออกไซด์ของเซลล์ ให้กลับเข้าไปฟอกที่ปอด เป็นสมดุลของธาตุน้ำ ร่างกายเราก็จะสดชื่น มีพลังชีวิต
      ในเส้นเลือดเรา ไม่ได้มีแต่เลือดไหลเวียนเท่านั้น ยังมีลม ( ธาตุลม ) ไหลเวียนอยู่ด้วย ถ้าการบำบัดของเราไม่สามารถทำให้ลมไหลเวียนได้ตามปกติ คือลมไม่สามารถเคลื่อนออกนอกร่างกาย ตามรูขุมขนต่างๆ ตามข้อกระดูกต่างๆ ออกตามทวารต่างๆ
        การสั่งสมพลังงานในกายเราก็จะเหมือนกับสายดับเพลิงที่เปิดให้น้ำไหลผ่านสายตลอดเวลา จากสายดับเพลิงที่แฟบ แบน สามารถม้วนสายเก็บได้ เมื่อมีน้ำไหลผ่านก็จะตึง แข็ง หนัก หักงอสายดับเพลิงนั้นไม่ได้ เป็นการเปรียบให้เห็นว่า แนวเส้น ( เส้นเลือด ) ถ้าการไหลเวียนของลม ลมออกนอกกายได้ อาการบวมตามแนวเส้นก็ยุบลงไปได้ แต่ถ้าลมไม่สามารถไหลเวียนออกนอกร่างกายได้ พลังงานที่สั่งสมอยู่ในร่างกายเราก็จะไม่สามารถไหลออกนอกร่างกายเราด้วยเช่นกัน

        เมื่อพลังงานไม่สามารถไหลออกนอกกายได้ พลังงานภายนอกที่เข้ามาและสั่งสมจนมาก ก็จะทำให้ธาตุไฟกำเริบ เกิดอาการร้อนข้างในร่างกายเรา แต่เมื่อตรวจวัดด้วยปรอทวัดไข้ ผลที่เกิดขึ้นคือไม่มีไข้
    ทั้งนี้เพราะความร้อนที่เราสัมผัสได้ มิได้เกิดจากการอักเสบของกล้ามเนื้อ ( ธาตุดิน ) หรือมิได้เกิดจากการติดเชื้อในกระแสเลือด ( ธาตุน้ำ )
     ความร้อนที่เราสัมผัสได้นั้นเกิดจากการที่ธาตุลมไม่ไหลเวียนออกนอกร่างกาย จึงไม่สามารถพาพลังงานที่สั่งสมอยู่ออกไปได้ ความร้อนภายในกายจึงเกิดขึ้น
      แล้วถ้าเราสามารถทำให้ลมไหลเวียนออกนอกร่างกายไปได้ อาการร้อนข้างในแต่ไม่มีไข้ ก็จะค่อยๆดับลงไปในขณะที่กดนวดเลย
   
          อาการเส้นบวม เส้นพอง อย่างเช่น เส้นคอตึง บวมแข็งขึ้นมา อาการหลังตึงแข็ง ก้มไม่ลง อาการหลังค่อม อาการนิ้วบวม นิ้วล็อค บวมปวดตามข้อ -ขาโกร่งงอ ทุกอาการที่กล่าวมานี้ก็เป็นอาการที่เกิดจาก การที่แนวเส้นตึง พลังงานไม่ไหลออกนอกร่างกาย
        พลังงานเคลื่อนไหลออกนอกร่างกายไม่ได้ พลังงานก็จะสั่งสมในแนวเส้น จะทำให้แนวเส้นบวมพองหนาขึ้น ความดันของพลังงานที่อยู่ในแนวเส้นจะส่งผลไปกดทับ ไปกด ไปดัน กล้ามเนื้อ กล้ามเนื้ออวัยวะ หรืออวัยวะที่แนวเส้นลากผ่าน ถ้าเราไม่เคยได้นำพลังงานเหล่านี้ให้ออกไปจากร่างกาย พลังงานเหล่านี้จะฝังตัวเก็บอยู่ภายใน ไม่ว่าจะกี่วัน กี่เดือน กี่ปี หรือเป็นสิบๆปี
         พลังงานเมื่อสั่งสมอยู่ในร่างกายเรา เรามองไม่เห็น แต่เราสัมผัสได้ว่า มีอาการอึดอัด อาการปวดลึกๆในกล้ามเนื้อ  อาการแข็งตึงขึ้นมาของแนวเส้น

แล้วเราจะบำบัดอาการ นิ้ว มือ แขน ได้อย่างไร