วันพฤหัสบดีที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2561

ช้ำข้างใน

ช้ำข้างใน

         ความไม่ปกติของธาตุใดธาตุหนึ่งในร่างกาย เมื่อเกิดความไม่สมดุลของธาตุนั้นแล้ว จะบานปลายไปกระทบกับธาตุอื่น ให้เกิดความไม่สมดุลไปด้วย ทำให้ร่างกายเกิดการเจ็บป่วย ธาตุในร่างกายเรา ในสภาวะที่สมดุล ธาตุทั้งสี่ต้องไหลเวียนเข้า-ออก ร่างกายได้  เช่น
      ธาตุดิน เรากินอาหาร เราก็ต้องขับถ่ายอุจจาระออกมา
      ธาตุน้ำ เราดื่มน้ำ เราก็ต้องขับถ่ายปัสสาวะออกมา
      ธาตุลม เราหายใจเข้าทางจมูก เพื่อนำออกซิเจนเข้ามาทางปอด และหายใจออกเพื่อนำคาร์บอนไดออกไซด์ ให้ออกไปนอกร่างกาย
       ธาตุไฟ ในสภาวะปกติอุณหภูมิในร่างกายเรา 37องศา ถ้าเรามีการอักเสบของกล้ามเนื้อ ติดเชื้อในกระแสเลือด อุณหภูมิร่างกายเมื่อมีการเสียสมดุลของธาตุดินและธาตุน้ำ เราสามารถใช้ปรอทวัดไข้ วัดอุณหภูมิที่สูงขึ้นได้ แต่ถ้าเกิดการเสียสมดุลของธาตุลม แล้วธาตุไฟกำเริบขึ้น เราจะรู้สึกร้อนผ่าวๆในร่างกาย แต่ปรอทวัดไข้ไม่สามารถตรวจจับอุณหภูมิที่สูงขึ้นนี้ได้

       ทั้งนี้เพราะธาตุลม เป็นธาตุที่เราเห็นไม่ได้ด้วยตา เครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆ ก็ไม่สามารถทำให้การไหลเวียนของธาตุลมให้กลับมาปกติคือ  ธาตุลมเข้าและออกนอกร่างกายเราได้ตามรูขุมขน ทั่วร่างกาย สำหรับลมหายใจที่ผ่านเข้ามาทางจมูกก็เป็นการนำออกซิเจนให้เข้ามาฟอกเลือดดำที่ปอด และนำคาร์บอนไดออกไซด์ให้ออกไปนอกร่างกายเท่านั้น

       เมื่อกล้ามเนื้อเราแข็งแรง เส้นตึง อาจจะเกิดจากอุบัติเหตุ การชนกระแทก การกระชาก หรือการบาดเจ็บทางร่างกายใดๆ ทำให้การไหลเวียนของลมที่ไหลเข้ามาตามรูขุมขน เข้ามาแล้วไม่สามารถเคลื่อนไหลออกนอกร่างกายตามรูขุมขนได้ สภาวะเช่นนี้ร่างกายเราเหมือนลูกโปร่งที่เป่าจนค่อยๆโต จนใหญ่เต็มใบ ลมในร่างกายก็เหมือนกัน ลมคลายออกมาไม่ได้ จึงบวมเป่งไปทั่วร่างกาย
       ร่างกายเราธาตุดินน้ำลมไฟ ก็มีขนาดที่ไม่โต ไม่ใหญ่เกินขนาดของร่างกาย ธาตุลมในร่างกายก็มีปริมาณเท่าขนาดร่างกายเรา แต่พลังงานที่สะเทือนเข้ามาในร่างกายเรานั้น เข้ามาทุกทิศทุกทาง จากระยางต่างๆ ศรีษะ แขน ขา เข้ามาทางทวารต่างๆ  และเข้ามาตามรูขุมขนทั่วร่างกายเรา พลังงานเข้ามาจากทุกๆอิริยาบท ทุกๆการกระทำของเรา
         ดังนั้นเมื่อธาตุลมในร่างกายเราเป็นเพียงแค่พาหนะ นำพาพลังงานอื่นๆเข้ามาในร่างกาย เมื่อเกิดการขัดของธาตุลม ลมไม่สามารถไหลเวียนออกนอกร่างกาย ตามทวาร ตามรูขุมขนต่างๆ พลังงานนั้นแหละที่เป็นตัวทำให้ธาตุไฟกำเริบ เมื่อสั่งสมพลังงานมากขึ้นเรื่อยๆ จะเกิดความร้อนขึ้นในร่างกาย แต่ความร้อนนี้ไม่สามารถตรวจวัดได้ด้วยปรอทวัดไข้ และเมื่อเรานวดไล่ลม ทำให้ลมที่ขัดอยู่ในร่างกาย ให้สามารถไหลเวียน วิ่งร้อนออกตามรูขุมขนตามแนวเส้นต่างๆได้ พลังงานก็จะเคลื่อนไหลออกนอกร่างกายเรา อาการตัวร้อนลุ่มภายใน ก็จะค่อยๆดับลง ในเวลานั้นเอง
       
      พลังงานเหล่านี้สะเทือนเข้ามาแล้วสั่งสมอยู่ในร่างกาย เมื่อลมไม่ไหลเวียนออกนอกร่างกาย พลังงานก็จะสะสมอยู่ตามแนวเส้น มีผลทำให้แนวเส้นบวมพอง โตขึ้นมา แล้วจะค่อยๆแผ่กระจายไปยังแนวเส้นที่ต่อเนื่องกันอยู่ แผ่ไปยังกล้ามเนื้อ ไปยังอวัยวะต่างๆ ไปกดทับอวัยวะต่างๆทำให้อวัยวะนั้นเสียสภาพการทำงานชั่วคราว อาการร้อนแต่ไม่มีไข้ก็จะเกิดขึ้น
         พลังงานที่กระแทกเข้ามาเมื่อตอนเราเป็นเด็กเวลา 20ปี 30ปีผ่านไป พลังงานที่เข้าไปยังสั่งสมอยู่ พลังงานไม่ได้หายไปไหน ฝังลึกอยู่ภายในแนวเส้น

      อาการที่เรากระโดดจากที่สูงแล้วปวดหลัง เวลา20ปีผ่านไป พลังงานที่เข้าไปก็ยังฝังลึกอยู่
      อาการขาพลิกขาแพลง เคยบวมที่ตาตุ่ม เวลา20ปีผ่านไป พลังงานที่เข้าไปก็ยังอยู่
       อาการรถชน ศรีษะกระแทก ศรีษะบวม ตึง ปวด  เวลา 20ปีผ่านไป พลังงานที่เข้าไปก็ยังฝังลึกอยู่
        อาการล้มก้นกระแทก ปวดขึ้นกลางสันหลัง   เวลา20ปีผ่านไป พลังงานที่เข้าไปก็ยังฝังลึกอยู่   
         อาการลื่นล้ม หลังฟาดพื้น เวลา20ปีผ่านไป พลังงานที่เข้าไปก็ยังฝังลึกอยู่
          อาการคอบ่าไหล่ สะบักจม เวลาผ่านไป 20ปี พลังงานที่เข้าไปก็ยังฝังลึกอยู่

            พลังงานที่กระทบเข้ามาในร่างกาย ธาตุลมในร่างกายเป็นแค่ตัวนำพาพลังงานให้เคลื่อนไหลไป การที่ลมในร่างกายไม่สามารถเคลื่อนไหลออกนอกร่างกายได้ พลังงานที่เข้ามาจึงไม่สามารถเคลื่อนไหลออกไปด้วยเช่นกัน พลังงานที่สั่งสม ทับถมอยู่ในแนวเส้น จึงฝัง อัด ลึกเข้าไปในแนวเส้น นานวันเข้าพลังงานสั่งสมมากเกิน จนแนวเส้นไม่สามารถรับได้ จะเกิดอาการปวดลึกจากข้างบนใต้ผิวหนัง ลงลึกไปถึงแนวเส้นด้านล่างที่พลังงานสั่งสมมาเป็นเวลาสิบๆปี คืออาการปวดเข้ากระดูก หรือปวดลึกๆ หรืออาการช้ำข้างในนั่นเอง
                                                                                                            16 สิงหาคม 2561

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น