วันเสาร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2560

กรรมบันดาล

     ใดๆในโลกนี้ ย่อมมีเหตุมีผล ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น เกิดจากผลของกรรม กรรมที่ส่งผลดี หรือกรรมที่ส่งผลไม่ดีกับเรา กรรมนั้นมีที่มาที่ไป การเจ็บป่วยของเราก็เช่นกัน   บางคนมีอาการปวดเมื่อยเส้นตั้งแต่เด็กๆ  ส่วนบางคนจนอายุ50-60 ไม่เคยเจ็บป่วยหนัก ไม่มีอาการปวดเมื่อยเส้นก็มี
      บางคนป่วยเรื้อรัง เลือดและลมไหลเวียนไม่ปกติ รักษามาตลอดในระยะเวลาหลายๆปีที่ผ่านมา จะ10ปี 20ปี 30ปี อาการต้นเหตุที่ซ่อนอยู่ก็ยังไม่ได้แก้ไขให้ลุล่วง แก้ไขได้เฉพาะอาการปลายเหตุเท่านั้น อาการต้นเหตุก็ยังเก็บฝังไว้ลึกลงไป
     จะแก้ไขได้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับเจ้ากรรมนายเวร เขาอโหสิกรรมให้เราหรือไม่ ทุกกรรมที่เกิดขึ้นล้วนมีวาระ มีช่วงเวลาของกรรมนั้นๆ ถ้าเกิดขึ้นในขณะที่เราอยู่ในภพภูมิที่เป็นมนุษย์ มีกล้ามเนื้อ เส้นเลือด อวัยวะต่างๆในร่างกาย ( ธาตุดิน ) การไม่ไหลเวียนของธาตุลมก็จะทำให้ ลมที่ขัดอยู่ตามแนวต่างๆ จะไปกดกล้ามเนื้อทำให้เกิดอาการปวดกล้ามเนื้อบริเวณนั้น เช่นกล้ามเนื้อหัวเข่า  ถ้าลมไปบีบรัดอวัยวะ ก็จะทำให้อวัยวะสูญเสียสภาพการทำงานชั่วคราว
    เช่น ลมในช่องท้องมาก กระเพาะอาหารก็อยู่ในช่องท้องด้วย ลมที่แน่นอยู่ในช่องท้องจึงไปบีบรัดให้กระเพาะอาหารซึ่งก็เป็นกล้ามเนื้อชนิดหนึ่ง มีการหด และขยายตัว เพื่อให้อาหารและน้ำย่อยคลุกเคล้ากัน
  เมื่อลมในช่องท้องแน่น ลมไปบีบให้กระเพาะอาหารมีขนาดเล็ก ไม่สามารถขยายพองตัวออกมาได้ ทำให้เกิดอาการกรดไหลย้อน ถ้าเราสามารถทำให้ลมที่แน่นอยู่ในช่องท้องคลายตัวออกได้ ก็จะแก้ไขอาการกรดไหลย้อนได้เอง
     ทั้งหมดที่กล่าวมา ไม่ใช่ว่าเราไม่รักษา แต่ที่เรารักษาแล้วยังไม่สามารถแก้ไปที่ลมได้ จนทำให้ร่างกายเราต้องช่วยคลายอาการ คลายความกดดันของอาการที่เก็บอยู่ด้านในลึกๆออกมา ในลักษณะชองการหาว การไอ การจาม การเรอ การผายลม การที่มีเสียงดังตามข้อกระดูกต่างๆ
      บางคนมีการเรอบ่อย เรอต่อเนื่อง ก็คือการคลายอาการด้านในกายออกมา แต่อาการต้นทางจริงๆยังไม่สามารถเข้าไปแก้ไขได้ เหมือนถังน้ำที่ใส่น้ำจนปริ่ม ใส่น้ำลงไปก็เก็บไม่ได้แล้ว มีแต่ไหลล้นออกมา
       ถ้าเรายังไม่ได้แก้ไขอาการต้นเหตุที่ลมไม่ไหลเวียน อาการเรื้อรังก็จะคงอยู่ต่อไป ทั้งนี้ก็เนื่องจากเจ้ากรรมนายเวรยังไม่อโหสิกรรมให้เรา จึงทำให้เราบำบัดอย่างไร ก็ยังแก้อาการของลมไม่ได้ ที่เคยเจอก็มีเช่น

 ดลใจให้คิดว่า กลัวนวดแล้วจะติด
ต้องไปนวดบ่อยๆ ทั้งๆที่ไม่ค่อยจะได้เจอว่า คนไม่มีเงินเหลือพอที่จะไปนวด จะดิ้นรนหาเงิน หาเพื่อที่จะไปนวด ยอมเสียเงินที่มีอย่างจำกัดเพื่อที่จะไปนวด เพราะติดการนวด ขาดการนวดไม่ได้ แต่สาเหตุที่คนที่ไปนวดจริงๆเพราะมีอาการปวดจนทนไม่ไหว จึงต้องไปนวด
     คนมีฐานะบางคนที่ไปนวดบ่อยๆ ไม่ใช่ว่าเขามีเวลาเหลือเฟือ แต่การที่ต้องไปนวด ก็เพราะปวดจนทนไม่ได้ จึงต้องไปนวด
   ดลใจให้คิดว่า คนนวดเป็นหมอนวดผู้ชาย
ไม่เคยให้ผู้ชายนวด การคิดอย่างนี้ก็เป็นการปิดกั้นไม่ให้เราได้รับการแก้ไข จะรู้หรือไม่ว่า คุณอาจจะหายได้จากการที่หมอนวดที่รักษาเป็นหมอผู้ชาย การที่เราคิดอย่างนั้น ก็เป็นการตัดโอกาสตนเองที่จะได้รับการรักษา
   ดลใจให้คิดว่า ไม่อยากนวดเพราะกลัวเจ็บ
ไม่คิดหรือว่าทุกวันนี้เจ็บอยู่แล้ว อาการที่ไม่ได้รับการแก้ไข มีแต่จะบานปลาย อาการจะเรื้อรังจนทำให้ไปกระทบการทำงานของอวัยวะอื่นๆมากขึ้น
    ดลใจให้เชื่อในการแนะนำจากแพทย์แผนปัจจุบันอย่างเดียว
ทำให้เชื่อมั่นในการรักษาที่ได้จากการรักษาทางทางแพทย์แผนปัจจุบัน เชื่อใจมั่นใจกล้ากินยาที่หมอแผนปัจจุบันจ่ายให้ ใช้ในการรักษา ไม่เคยกลัวว่ายาที่กินไปสุดท้ายจะมีผลกระทบเมื่อมีอายุมากขึ้น เกิดโรคความดัน เบาหวาน โรคไต ตามมา
     ส่วนการรักษาทางแผนไทย การนวด การใช้ยาสมุนไพร ไม่ได้รับความเชื่อมั่นในการรักษาเท่าวิธีของแผนปัจจุบัน คือทางเลือกสุดท้ายที่จะใช้ เพราะความที่ไม่เชื่อในประสิทธิภาพในการรักษา ถึงแม้จะเป็นเป็นการรักษาที่ต้นทางของอาการ

     ดังนั้น ความคิดที่ว่าไม่อยากนวดเพราะกลัวติด  ไม่อยากนวดเพราะหมอนวดเป็นผู้ชาย  ไม่อยากนวดเพราะกลัวเจ็บ  ไม่อยากนวดเพราะเชื่อในการแนะนำจากแพทย์แผนปัจจุบันอย่างเดียว จึงเป็นการดลใจของเจ้ากรรมนายเวรที่อยู่ในกายเรา เขายังไม่ยอมให้เราหายจากอาการนั้นๆ

 ถ้าเจ้ากรรมนายเวรเขายอม จะดลใจให้เรารักษา เราก็จะคิดว่า
     ถ้าเราไม่มีอาการอะไร เราก็ไม่มีความจำเป็นต้องนวด เราก็ไม่นวด ที่เรานวดก็เพื่อบำบัดรักษา
     จะเป็นหมอนวดชายหรือหญิงก็ได้ ถ้ารักษาเราหายได้ เราก็จะให้เขารักษา
     ทุกวันนี้เราเจ็บอยู่แล้ว ถ้าการนวดบำบัดครั้งนี้จะเจ็บในขณะที่นวด ก็ยินดีที่จะเจ็บ เพื่อที่อาการเรื้อรังต่างๆจะหายไป
      เราเคยได้ยินว่า กินยาคลายเส้นบ่อยๆ ต่อไปก็จะทำให้มีปัญหาต่อไต ต้องฟอกเลือด เป็นความดัน โรคหัวใจ เบาหวาน เราจะลองเลือกการรักษาทางอื่น ซึ่งอาจจะบำบัดอาการของเราก็ได้

      บางคนมีคนเขาแนะนำ และเคยได้ยินว่าที่นั่นที่นี่รักษาได้ แต่ถ้าเจ้ากรรมนายเวรไม่ยอม อย่างไรๆก็ไม่มีโอกาสที่จะได้รักษา ต่อให้ไปถึงแล้ว ก็มีเหตุให้ไม่ได้รักษา
     แต่ถ้าเจ้ากรรมนายเวรยอมอโหสิกรรมให้แล้ว ต่อให้ไม่รู้จักกัน ไม่เคยมีข้อมูล สถานการณ์จะพาไป ทำให้มีโอกาส ได้ไป ได้รู้จัก มีคนอื่นแนะนำให้รู้จัก และได้รับการบำบัดจนหายได้

                      นี่แหละกรรมบันดาล

วันอังคารที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2560

แก้ไ่ม่ทันการณ์ อัมพฤกษ์

แก้ไม่ทันการณ์ อัมพฤกษ์

      การบาดเจ็บกล้ามเนื้อของคนเรา เป็นจุดเริ่มต้นของการขัดของเลือดลม ยิ่งการบาดเจ็บเรื้อรังบริเวณส่วนบนของร่างกาย คือคอ-บ่า-ไหล่ จะยิ่งมีอันตรายมากขึ้นเรื่อยๆ  โดยเฉพาะคอ-บ่า-ไหล่ นี้เป็นทางผ่านที่เลือดและลมจะไหลผ่านไปยังศีรษะ ไปยังสมอง ซึ่งสมองเป็นระบบประสาทส่วนที่สำคัญที่สุด ถ้าสมองขาดเลือดไปเลี้ยง กล้ามเนื้อสมองบางส่วนจะตายไป จะทำให้เกิดอาการอัมพฤกษ์-อัมพาต
        อาการปวดคอ ปวดบ่า ปวดไหล่ อาการปวด มึนศีรษะ นั้นสื่อให้เข้าใจถึงเลือด-ลมที่จะไหลไปบริเวณศีรษะมีไม่เพียงพอ
       สมองที่มีหน้าที่สั่งให้อวัยวะต่างๆทำงาน เช่นหัวใจ ให้สูบฉีดเลือดไปยังอวัยวะปลายทาง อย่างเช่นสมอง 
      ถ้าเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อสมองไม่เพียงพอ สมองก็จะสั่งให้หัวใจเพิ่มการสูบฉีด เพื่อให้ได้เลือดปริมาณเพียงพอตามความต้องการของกล้ามเนื้อสมอง ยิ่งกล้ามเนื้อบริเวณคอ บ่า มีอาการเกร็งตึงมากเท่าใด ก็จะทำให้หัวใจต้องทำงานหนักมากขึ้นเท่านั้น เพราะเส้นเลือดเราฝังตัวอยู่ในกล้ามเนื้อ ความยืดหยุ่นของเส้นเลือดลดลง เลือดลมไหลเวียนไปยังสมองได้น้อยลง
        ผลต่อเนื่องระยะยาว ที่เลือดลมไหลไปไม่สะดวก หัวใจทำงานหนักขึ้นเรื่อยๆ ความดันโลหิตก็จะสูงขึ้น จนในที่สุดเมื่อความดันโลหิตสูงต่อเนื่องๆเป็นเวลานาน เส้นโลหิตในสมองก็จะตีบ แตก ซึ่งก็คืออาการอัมพฤกษ์-อัมพาต ถ้าอาการมาถึงขั้นนี้แล้ว การแก้ไข การบำบัดจะไม่ง่ายแล้ว เพราะเนื้อสมองส่วนหนึ่งบริเวณที่เส้นโลหิตตีบ-แตก จะตายไป
กล้ามเนื้อสมองซีกขวาบางส่วนตาย ทำให้อวัยวะซีกซ้ายอ่อนแรงไม่มีกำลัง
กล้ามเนื้อสมองซีกซ้ายบางส่วนตาย ทำให้อวัยวะซีกขวาอ่อนแรงไม่มีกำลัง
     สมองส่วนนั้นมีหน้าที่สั่งการอะไร การสั่งการของอวัยวะนั้นก็จะไม่มี หรือมีอยู่แค่สมองส่วนนั้นที่เหลืออยู่ มีผลให้อวัยวะปลายทางที่สมองจะสั่งการนั้นมีอาการอ่อนแรง
         ปกติแล้ว การนวดบำบัดทั่วไป คือการนวดที่ทำให้เลือดลมหมุนเวียน จะนวดดีหรือไม่ดี จะบำบัดอาการต่างๆได้หรือไม่ได้ ถ้ายังไม่มีถึงขั้นเส้นเลือดสมองตีบหรือแตก การบำบัดก็จะไม่เรื้อรัง และมีโอกาสหายขาดจากอาการเดิมๆที่สั่งสมมาได้

         แต่ถ้าอาการมาถึงเส้นเลือดสมองตีบ-แตก ถึงขั้นอัมพฤกษ์-อัมพาต การบำบัดจะไม่ใช่แค่การนวดให้เลือดลมเดินแล้ว แต่จะต้องมีการกายภาพบำบัด ให้กล้ามเนื้ออวัยวะที่อ่อนแรงนั้นพื้นตัวขึ้นมา ใช้เวลาเป็นหลายๆเดือน เป็นปี และต่อให้ฟื้นฟูขึ้นมาได้การใช้งานของอวัยวะนั้นก็จะได้ไม่เต็มที่เหมือนเดิม เพราะเนื้อสมองส่วนที่ขาดเลือดและตายไปแล้วเราไม่สามารถทำให้ฟื้นกลับมาได้อีก เราจึงไม่ควรปล่อยให้มีอาการปวดหรือมีอาการบริเวณศีรษะอย่างเรื้อรัง เพราะทุกๆวันที่ผ่านไป ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดอาการนี้ได้ เพียงแค่ทำให้การไหลเวียนของเลือดลมที่จะขึ้นไปเลี้ยงบนศีรษะได้เป็นปกติ  ก็จะลดอัตราเสี่ยงที่จะเกิดอัมพฤกษ์ได้

วันพุธที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2560

อาการตัวร้อน แต่ไม่มีไข้

อาการตัวร้อนแต่ไม่มีไข้

ความสมดุลของธาตุต่างๆในร่างกายเราเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เมื่อกล้ามเนื้อเราเป็นมัดๆ ( ธาตุดิน ) กล้ามเนื้อแข็งแรง เราลองนึกดูว่า เส้นเลือดที่ฝังตัวอยู่ในกล้ามเนื้อที่เป็นมัดๆ การไหลเวียนของเลือด (ธาตุน้ำ) การไหลเวียนของลมในเส้น ( ธาตุลม ) ก็จะโดนกระทบ ทำให้การไหลเวียนของเลือดและลมด้อยประสิทธิภาพลงไป
การไหลเวียนของเลือดที่จะไปที่อวัยวะ หรือเลือดที่จะไปส่วนปลายของรยางค์คือ ปลายมือ ปลายเท้า ศีรษะ ก็จะไปได้น้อยลง ทำให้อวัยวะส่วนนั้นๆได้รับอาหารและออกซิเจนไม่พอเพียง จึงเกิดการชาตามปลายมือปลายเท้า และสมองขาดเลือด
เลือดดำที่จะไหลกลับเข้ามาที่ปอด เพื่อฟอกเอาของเสียออกจากเลือด ก็ไหลเวียนกลับมาได้ไม่เต็มที่ เพราะเส้นเลือดดำที่ฝังตัวอยู่ในกล้ามเนื้อที่แข็งแรง ความยืดหยุ่นของเส้นเลือดดำและวาล์วที่อยู่ในเส้นเลือดดำก็จะเสื่อมสภาพการทำงาน จึงทำให้เกิดอาการเส้นเลือดขอด
การไหลเวียนของลมในกายก็โดนกระทบ ลมที่ไหลเวียนตามเส้น ซึ่งเส้นนั้นก็อยู่ในชั้นกล้ามเนื้อ เมื่อกล้ามเนื้อแน่น แข็งแรง จะทำให้การไหลเวียนของลมไม่ครบวงจร ลมไหลเข้ามาในร่างกายได้ แต่บริเวณที่มีอาการขัด ( จะเกิดจากการที่มีกล้ามเนื้อแข็งแรง หรือจะเกิดจากการที่กล้ามเนื้อบาดเจ็บ บาดเจ็บเรื้อรังจนมีชั้นพังผืดที่หนา ) ทำให้การไหลเวียนของลมในเส้น ไหลเวียนผ่านบริเวณนั้นไม่ได้ ลมเกิดการรวมตัวกันขึ้น ทำให้เกิดความดันของลม และความดันของลมนั้นก็จะสะสมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ไปกดทับอวัยวะต่างๆ
ไปกดทับกล้ามเนื้อต่างๆ เช่น กดทับกล้ามเนื้อหัวเข่าก็เกิดอาการปวดเข่า
ไปกดทับหมอนรองกระดูกเอว ก็จะทำให้ปวดเอว
และเมื่อกดทับที่หมอนรองกระดูกเอวมากๆก็จะทำให้หมอนรองกระดูกเคลื่อนตัวไปทับเส้นประสาทขา ทำให้มีอาการปวดร้าวลงเส้นประสาทขา
การที่ธาตุลมโดนกระทบจากกล้ามเนื้อที่แข็งแรง หรือชั้นพังผืดที่เพิ่มขึ้นมา จึงทำให้ธาตุลมในกาย ไหลเวียนไม่ดี ลมไปขัดบริเวณนั้นๆ ทำให้เกิดอาการจากลมขัดมากมายเช่น
มีอาการปวดแสบปวดร้อนใต้ผิวหนัง
มีอาการคันเหมือนมดไต่ใต้ผิวหนัง
มีอาการร้อนอยู่ใต้ผิวหนังบริเวณที่เคยบาดเจ็บ
มีอาการบวมเป่งบริเวณแนวที่เคยบาดเจ็บ
มีอาการลมออกหู
และมีอาการร้อนลุ่มอยู่ในกาย แต่ไม่มีไข้ ซึ่งคนทั่วไปจะมีอาการนี้เยอะมาก ทั้งนี้เนื่องจากธาตุลมที่ขัด ลมไหลเวียนผ่านบริเวณนั้นไม่ได้ การบาดเจ็บของกล้ามเนื้อนั้นๆ ก็จะทำให้มีการสั่งสมพลังงาน ธาตุไฟจึงกำเริบ เราจึงมีความรู้สึกว่าในกายเราร้อนลุ่มกว่าปกติ แต่เมื่อวัดอุณหภูมิในร่างกาย ก็อยู่ที่37 องศา คือไม่มีไข้
ไม่ว่าจะมีอาการอะไร ปวดแสบปวดร้อน อาการคันเหมือนมดไต่ใต้ผิวหนัง อาการบวมเป่งใต้ผิวหนัง ถ้าเราสามารถทำให้ลมไหลออกนอกกายตามรยางค์ทั้ง5 ตามทวารต่างๆ ตามข้อกระดูกต่างๆ ตามรูขุมขนทั่วร่างกายเรา อาการตัวร้อนลุ่ม แต่ไม่มีไข้ในกายเราก็หายได้ในขณะที่นวดนั้นเอง

น้ำในหูไม่เท่ากัน

น้ำในหูไม่เท่ากัน

อาการเจ็บป่วยของคนเราในแต่ละโรค แต่ละอาการ แพทย์แผนปัจจุบันก็เรียกอาการหนึ่ง รักษาไปทางหนึ่ง แพทย์ทางเลือกก็วิเคราะห์เรียกอาการหนึ่ง ก็รักษาไปอีกทางหนึ่ง แล้วแต่ภูมิความรู้ที่มีอยู่ จะเป็นการบำบัดเพื่อกดอาการต่างๆไว้เพื่อไม่ให้แสดงอาการออกมา หรือการเข้าไปบำบัดในตัวปัญหาที่เป็นเหตุให้เกิดอาการนั้นๆ
มีคนป่วยที่ผมได้ไปนวดไล่ลม อยู่แถวถนนพระราม2 ระบุมาว่ามีอาการ น้ำในหูไม่เท่ากัน โดยรวมแล้วคือมีอาการมึนงง เวียนศีรษะ คล้ายบ้านหมุน อาการที่แจ้งนี่เป็นอาการหลัก ทราบในภายหลังว่าเคยประสบอุบัติเหตุจนกะโหลกศีรษะยุบเมื่อหลายปีก่อน
แต่เมื่อได้เข้าไปพบคนป่วย และได้นวดในครั้งแรกนั้น คนป่วยมีอาการเส้นตึงเกือบทั้งตัว โดยเฉพาะขา แข็งตึง จนผิวที่หน้าแข้งมีความตึง พองขึ้นมาให้เห็น น่องตึง แผ่นหลังก็ตึงแข็ง บ่าก็แข็งกดไม่ค่อยลง
จึงเริ่มทำการนวด จากการให้นอนคว่ำเพื่อที่จะไล่ลมที่ขัดอยู่ในแนวเส้นหลังติดกระดูกสันหลัง แนวเส้นคอ ท้ายทอย และลมที่อั้นในศีรษะ คลายลมในช่องท้อง แนวน่อง โดยเริ่มต้นให้ลมไหลร้อนออกไปปลายนิ้วเท้า ยิ่งลมร้อนวิ่งออกทะลุไปปลายนิ้วเท้า ความหนาแน่นของลม( ความดันของลม)ที่อยู่แนวในขาด้านล่างลงมาจากจุดที่เรากดนวดนั้น ก็จะมีความดันของลมต่ำกว่าความดันของลมที่อยู่ด้านบนลำตัว ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นคือ ลมที่อั้นบวมอยู่ตั้งแต่ศีรษะลงมาจนถึงแนวขาเหนือจากจุดที่กดนวด ซึ่งมีความดันของลมมากกว่า ก็จะแพร่ ไหลลงมาแทนที่แนวขาด้านล่าง และแรงเฉื่อยที่ลมไหลออกไปปลายเท้า ก็จะทำให้ลมที่ไหลลงมาจากด้านบนก็จะไหลต่อเนื่องออกไปยังปลายนิ้วเท้า ออกนอกร่างกายไป
ทำให้แนวตั้งแต่ด้านบน เหนือจุดที่นวดมีความรู้สึกเบาสบายขึ้น ลำตัวแฟบลงมา รับรู้ถึงความรู้สึกว่าลมที่อยู่ในแนวเส้นหลังติดกระดูก โดนลากโดนกระชาก ลงมาแล้วไปออกที่ปลายเท้า ในช่องท้องโล่งขึ้น
หลังจากนั้น จึงนวดเส้นในแนวนอนตะแคง เพื่อบำบัดอาการที่เกิดขึ้นจากคอบ่าไหล่ ที่ส่งผลลงมาด้านล่างถึงปลายเท้า เพราะอาการคนป่วยคนนี้เกิดจากศีรษะโดนกระแทกลงมา อาการเริ่มต้นจึงสะสมอยู่บริเวณด้านบนของศีรษะ ทำให้เกิดอาการปวดเวียนศีรษะ เหมือนบ้านหมุน คอบ่าไหล่ตึง ปวดเมื่อยลงมาที่แนวหลังใต้แนวสะบัก แนวเอวตัดขวาง เอว สะโพก ปลายเท้า( แนวหมอนรองกระดูกเคลื่อนไปทับเส้นประสาทแขน-ขา
หลังจากนั้นนวดคนป่วยในแนวนั่ง นวดไล่บริเวณคอบ่าไหล่ จนคนป่วยมีอาการเบากาย เบาศีรษะขึ้นมา
กดท้องแนวรอบสะดือ เพื่อกระทุ้งลมตามเส้นของเส้นประธานสิบ
และนวดไล่เส้นที่นอนตะแคงอีก1รอบ เพื่อที่จะดึงลมที่เคลื่อนหนีจากการนวดท่านั่งซึ่งหนีไปกองอยู่ที่หลัง เอว และดึงลมที่หนีมากองอยู่ที่แนวหลังและเอว จากการที่เรากดท้องแนวรอบๆสะดือ เป็นการดึงลมให้ออกนอกกายไม่ให้ลมนั้นย้อนกลับไปขัดตามแนวเส้นอีก
หลังจากนั้นประมาณ2-3สัปดาห์ ได้ย้อนกลับไปนวดซ้ำอีก อาการเริ่มต้นของครั้งนี้คือ ยังมีอาการปวดมึนศีรษะบ้างไม่หนักเท่าเดิม แต่อาการเหมือนบ้านหมุนนั้นหายไป

วันเสาร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2560

ลม ผู้อยู่เบื้องหลังอาการเจ็บป่วย

ลม ผู้อยู่เบื้องหลังอาการเจ็บป่วย

      ผู้ที่จะบำบัดอาการคนป่วยได้ ผู้นั้นก็จะต้องเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ ซึ่งได้มาจากการบำบัดอาการนั้นๆ สำหรับผู้ป่วยแต่ละคนก็คือตำรา เป็นครูบาอาจารย์ ในวิธีการบำบัดนั้นๆ
     โดยเฉพาะการบำบัดอาการเกี่ยวกับการไหลเวียนของลมในกายนี้  เป็นศาสตร์ที่ไม่ค่อยมีการพูดถึง ทั้งๆที่ผู้ป่วยส่วนมากรู้สึกอยู่แล้วว่า ในร่างกายเรามีอาการผิดปกติ เช่น
     บางวันเราจะมีความรู้สึกว่า มีลมแน่นท้อง เสียดท้อง เสียดลิ้นปี่ หายใจลำบาก เรอบ่อย แตะตรงไหนของร่างกายก็ยังเรอ ผายลมบ่อย
     อาการกรดไหลย้อน
     อาการเสียวแปลบไปที่หัวใจ แต่เมื่อตรวจทางแผนปัจจุบันแล้ว หัวใจไม่มีปัญหา  อาการขัดบริเวณใต้ราวนม
     มีอาการคันใต้ผิวเหมือนมีมดไต่อยู่บริเวณปลายมือปลายเท้า         
    อาการปวดแสบปวดร้อน อาการร้อนผ่าว วูบวาบไปตามอวัยวะ
     อาการมีเสียงลั่นตามข้อกระดูก
      อาการเสียวแปลบที่ตาตุ่มที่เคยขาแพลงมาก่อนหน้า ซึ่งได้รักษาอาการบาดเจ็บหายมาหลายปีแล้ว
      อาการปวดหลัง เอว ขา หลังจากยกของหนัก 
      อาการสายตาพร่ามัว มองไม่ชัด กระบอกตาปิด น้ำตาไหล ลมออกหู  น้ำในหูไม่เท่ากัน มีอาการไอจามที่ว่าเป็นอาการภูมิแพ้ แพ้อากาศ
        ทั้งหมดที่ยกตัวอย่างมานี้ เมื่อเรานวดไล่ให้ลมในกายไหลเวียนออกนอกกายตามปลายมือ ปลายเท้า ศรีษะ ตามข้อกระดูกต่างๆ ตามรูขุมขนทั่วร่างกาย ให้ลมไหลได้สะดวก จนเป็นสภาวะปกติ เมื่อนั้นอาการป่วยที่เรื้อรัง ที่นวดมาเป็นสิบๆปีก็ยังไม่หาย ก็จะค่อยๆทุเลา เบาลง และหายไปในที่สุดตามสภาพอาการของผู้ป่วยแต่ละราย
          การบาดเจ็บโดยการกระแทก เช่นรถชนแล้วศรีษะกระแทก หรือการที่ศรีษะกระแทกกักเพดานปูน หรือไม้เตี้ยๆเต็มแรง
          การบาดเจ็บโดยการกระชาก เช่นการที่เราจับราวบันได เพื่อดึงตัวเราไม่ให้กลิ้งลงบันได
          การบาดเจ็บโดยการกระโดด เช่นกระโดดจากที่สูง จากต้นไม้

   การบาดเจ็บทั้งหมดนี้ เรารักษาอาการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อได้ บาดแผลรักษาไประยะหนึ่งก็หายได้ แต่การที่ลมไหลเวียนไม่ได้จากอาการนั้น เป็นระเบิดเวลาที่ฝังรอ การปะทุของอาการในวันข้างหน้า