ลม
ผู้อยู่เบื้องหลังอาการเจ็บป่วย
ผู้ที่จะบำบัดอาการคนป่วยได้
ผู้นั้นก็จะต้องเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ ซึ่งได้มาจากการบำบัดอาการนั้นๆ สำหรับผู้ป่วยแต่ละคนก็คือตำรา
เป็นครูบาอาจารย์ ในวิธีการบำบัดนั้นๆ
โดยเฉพาะการบำบัดอาการเกี่ยวกับการไหลเวียนของลมในกายนี้
เป็นศาสตร์ที่ไม่ค่อยมีการพูดถึง
ทั้งๆที่ผู้ป่วยส่วนมากรู้สึกอยู่แล้วว่า ในร่างกายเรามีอาการผิดปกติ เช่น
บางวันเราจะมีความรู้สึกว่า มีลมแน่นท้อง
เสียดท้อง เสียดลิ้นปี่ หายใจลำบาก เรอบ่อย แตะตรงไหนของร่างกายก็ยังเรอ ผายลมบ่อย
อาการกรดไหลย้อน
อาการเสียวแปลบไปที่หัวใจ แต่เมื่อตรวจทางแผนปัจจุบันแล้ว
หัวใจไม่มีปัญหา อาการขัดบริเวณใต้ราวนม
มีอาการคันใต้ผิวเหมือนมีมดไต่อยู่บริเวณปลายมือปลายเท้า
อาการปวดแสบปวดร้อน อาการร้อนผ่าว วูบวาบไปตามอวัยวะ
อาการมีเสียงลั่นตามข้อกระดูก
อาการเสียวแปลบที่ตาตุ่มที่เคยขาแพลงมาก่อนหน้า ซึ่งได้รักษาอาการบาดเจ็บหายมาหลายปีแล้ว
อาการปวดหลัง เอว ขา หลังจากยกของหนัก
อาการสายตาพร่ามัว
มองไม่ชัด กระบอกตาปิด น้ำตาไหล ลมออกหู
น้ำในหูไม่เท่ากัน มีอาการไอจามที่ว่าเป็นอาการภูมิแพ้ แพ้อากาศ
ทั้งหมดที่ยกตัวอย่างมานี้ เมื่อเรานวดไล่ให้ลมในกายไหลเวียนออกนอกกายตามปลายมือ
ปลายเท้า ศรีษะ ตามข้อกระดูกต่างๆ ตามรูขุมขนทั่วร่างกาย ให้ลมไหลได้สะดวก จนเป็นสภาวะปกติ
เมื่อนั้นอาการป่วยที่เรื้อรัง ที่นวดมาเป็นสิบๆปีก็ยังไม่หาย ก็จะค่อยๆทุเลา
เบาลง และหายไปในที่สุดตามสภาพอาการของผู้ป่วยแต่ละราย
การบาดเจ็บโดยการกระแทก เช่นรถชนแล้วศรีษะกระแทก
หรือการที่ศรีษะกระแทกกักเพดานปูน หรือไม้เตี้ยๆเต็มแรง
การบาดเจ็บโดยการกระชาก เช่นการที่เราจับราวบันได
เพื่อดึงตัวเราไม่ให้กลิ้งลงบันได
การบาดเจ็บโดยการกระโดด
เช่นกระโดดจากที่สูง จากต้นไม้
การบาดเจ็บทั้งหมดนี้ เรารักษาอาการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อได้
บาดแผลรักษาไประยะหนึ่งก็หายได้ แต่การที่ลมไหลเวียนไม่ได้จากอาการนั้น
เป็นระเบิดเวลาที่ฝังรอ การปะทุของอาการในวันข้างหน้า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น