วันอาทิตย์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

ทำความเข้าใจก่อนจะบำบัดธาตุทั้งสี่

ทำความเข้าใจก่อนจะบำบัดธาตุทั้งสี่

        อาการเจ็บป่วยที่เกิดขึ้น เนื่องจากการใช้งานอวัยวะตามปกตินิสัยของเรา ทุกๆการใช้งานอวัยวะ จะมีพลังงานด้านนอกเคลื่อนไหลเข้ามาในร่างกายเรา พลังงานที่เข้ามานี้จะเคลื่อนไหลเข้ามาในร่างกายเราโดยอาศัยการเคลื่อนไหลของลม  ที่แล่นอยู่ในแนวเส้นของเราอยู่แล้ว (ธาตุลม ก็เป็นพลังงานชนิดหนึ่ง )
         อีกทางหนึ่งเมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้นกับร่างกายเราโดยการกระแทก การกระชากการสะเทือน หรือมีวัตถุมาปะทะที่ร่างกายเรา พลังงานภายนอกก็จะเคลื่อนเข้ามาในร่างกายเรา เคลื่อนผ่านไปตามแนวเส้น แพร่กระจายแผ่ออกไปรอบๆแนวเส้นนั้น
       
         จากที่เคยกล่าวมาแล้ว การเจ็บป่วยของร่างกายเราเกิดจากความไม่สมดุลของธาตุทั้งสี่ คือธาตุดินน้ำลมไฟ การที่เราเคลื่อนไหวใช้งานอวัยวะ เช่น แขน ข้อมือ มือ นิ้วมือ กล้ามเนื้ออวัยวะนั้นๆก็จะแข็งแรง เมื่อกล้ามเนื้อแข็งแรง กล้ามเนื้อแน่นเป็นมัดๆ การไหลเวียนของเลือดในเส้นเลือดที่ฝังตัวอยู่ในกล้ามเนื้อที่แข็งแรง ทั้งเลือดดำและเลือดแดง ก็จะโดนกระทบ
         การไหลเวียนของเลือดแดง ไปยังอวัยวะส่วนปลายของระยางก็จะด้อยสภาพลงไป
          การไหลเวียนกลับของเลือดดำ จากส่วนปลายของระยางที่จะไหลกลับไปฟอกที่ปอด ก็ด้อยสภาพลงไปเช่นกัน
        ทั้งนี้เนื่องจากกล้ามเนื้อที่แข็งแรง เส้นเลือดที่ฝังตัวอยู่ในกล้ามเนื้อจะถูกกล้ามเนื้อที่แข็งแน่นกดทับ บีบทำให้เส้นเลือดเสียความยืดหยุ่น การบีบรัดตัวของเส้นเลือด หดตัวแล้วขยายไม่ขึ้น ทำให้เลือดแดงจะไหลไปส่วนปลายระยางก็ไม่เต็มที่ จึงทำให้เกิดการชา เลือดแดงส่งไปเลี้ยงศีรษะ มือ เท้า ไม่พอ 
       เลือดดำก็ไหลจากปลายระยางจะไหลกลับไปฟอกที่ปอด เลือดดำไหลผ่านกล้ามเนื้อที่แข็งตึงได้ไม่สะดวก ทำให้ของเสีย รวมทั้งคาร์บอนไดออกไซด์ ก็จะตกค้าง

          พลังงานจากภายนอกเข้ามาในร่างกาย ทำให้สมดุลของธาตุลมในร่างกายเราเสียไป พลังงานที่เข้ามาจะเคลื่อนไหลตามลมที่เคลื่อนไปทั่ว
ร่างกาย สั่งสมภายในแนวเส้น เปรียบเหมือนลูกโปร่งที่เราเป่าลมเข้า จากลูกโปร่งแฟบๆ เป่าลมเข้าไปจนลูกโปร่งโต แข็ง ลมที่เป่าเข้าไปจนลูกโปร่งใหญ่เต็มที่ เป็นการสั่งสมของพลังงาน ทำให้เกิดความดัน เวลาเราบีบลูกโปร่งที่เป่าจนใหญ่เต็มที่ จะแข็ง บีบไม่ลง แต่ถ้าเราปล่อยลมที่อยู่ในลูกโปร่งให้ค่อยๆไหลออก ขนาดของลูกโปร่งก็จะเล็กลง ความดันของลมที่สั่งสมอยู่ก็จะลดลง เมื่อเราบีบลูกโปร่งลูกโปร่งก็นิ่ม ไม่ต้านมือ
            พลังงานที่สั่งสมเข้ามาในร่างกาย เคลื่อนไหลและสั่งสมตามแนวเส้น และสั่งสมตามช่องท้อง กระโหลกศรีษะ
    พลังงานสั่งสมที่ช่องท้องก็จะทำให้ท้องพองโต พลังงานไปกระทบอวัยวะต่างๆในช่องท้อง
       พลังงานสั่งสมที่กระโหลกศรีษะ พลังงานก็จะกระทบการทำงานของตา หู คอ จมูก ปาก และสมอง
       พลังงานสั่งสมในแนวเส้น จะทำให้แนวเส้นบวมพอง หนาขึ้น ความดันของพลังงานที่สั่งสมอยู่ในแนวเส้น ก็จะส่งผลไปกดทับ ไปกด ไปดัน กล้ามเนื้อ กล้ามเนื้ออวัยวะ หรืออวัยวะที่แนวเส้นลากผ่าน  ถ้าเราไม่เคยได้นำพลังงานเหล่านี้ออกไปจากร่างกาย พลังงานเหล่านี้จะฝังตัวเก็บอยู่ภายใน ไม่ว่าจะกี่วัน กี่เดือน กี่ปี หรือเป็นสิบๆปี
         พลังงานที่สั่งสมอยู่นี้ เรามองไม่เห็น แต่เราสัมผัสได้ว่า
   มีอาการอึดอัด อาการปวดลึกๆในกล้ามเนื้อ
   อาการเสียวแปลบบริเวณที่เราเคยขาพลิก – ขาแพลง
   อาการปวดแปลบเข้าไปในหัวใจในขณะที่กล้ามเนื้อหัวใจเป็นปกติ
   อาการปวดตึงกลางหลังจากการที่เคยกระโดดลงมาจากที่สูง
   อาการปวดเสียว แปลบ ตึงที่แขน จากการที่เราใช้แขนทำงาน จนเกิดอาการบาดเจ็บ อาการนิ้วล็อค นิ้วบวม ปวดข้อมือ ปวดส้นมือ เพราะการใช้งานของมืออย่างต่อเนื่อง
    อาการปวดมึนศรีษะ คอตกหมอน ไหล่ติด สะบักจม หูอื้อ ภูมิแพ้หายใจไม่สะดวก กลืนอาหารกลืนน้ำลายลำบาก ตาพร่ามัว อาการรองช้ำ ตะคริว ขาโกร่งงอ หลังค่อม   ฯลฯ
        อาการที่กล่าวมานี้ เราเพียงแค่บำบัดให้ ธาตุดินธาตุน้ำหายกลับมาเป็นปกติ แต่ในส่วนของธาตุลม เราไม่ได้ทำให้ลมเคลื่อนไหลออกนอกกาย ออกที่รูขุมขน ที่ข้อกระดูก ที่ทวารต่างๆ พลังงานเหล่านี้แหละที่ทำให้การบำบัด รักษาอาการของเราเรื้อรัง
       เมื่อลมและพลังงานไม่คลายออกมา พลังงานที่สั่งสมมากขึ้น มากขึ้น ธาตุไฟในร่างกายเราก็จะกำเริบขึ้นมา ทำให้เรารู้สึกร้อนอยู่ภายในแต่ไม่มีไข้ การที่เรารู้สึกร้อนภายในร่างกาย แต่ไม่มีไข้ เพราะปรอทที่เราใช้วัดไข้จะสามารถตรวจวัดความร้อนที่เกิดจากการอักเสบของธาตุที่จับต้องได้ เห็นได้ด้วยตา คือธาตุดินและธาตุน้ำเท่านั้น
      ส่วนความร้อนที่เกิดจากกรณีนี้  เครื่องไม้เครื่องมือเราไม่สามารถตรวจวัดได้ ดังนั้นความร้อนที่เกิดขึ้นจากการขัดของลม เมื่อเราทำให้ลมไหลเวียนออกนอกกายได้ ลมพาพลังงานที่สั่งสมอยู่ให้ออกนอกร่างกายไป อาการร้อนภายในร่างกายเรา ที่เราตรวจวัดด้วยปรอทวัดไข้ไม่ได้ ความร้อนนั้นก็จะค่อยๆดับลง เย็นลง จนเป็นปกติ

เมื่อธาตุลมไหลเวียนออกนอกกายได้ปกติ อาการกำเริบของธาตุไฟก็จะดับลงไปเอง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น