วันอาทิตย์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

ปรับสมดุลธาตุทั้งสี่ บำบัดอาการช้ำใน

ปรับสมดุลธาตุทั้งสี่ บำบัดอาการช้ำใน

       ก่อนที่จะกล่าวถึงการแก้อาการนิ้วล็อค อาการนั่งแล้วหลังงอ หลังค่อม จะขอกล่าวถึงเรื่องพลังงานที่ซึมซับเข้ามาในร่างกาย ที่เป็นสาเหตุหลัก ทำให้เรามีอาการป่วยที่เรื้อรังที่เรามักจะพูดกันว่าปวดลึกๆข้างใน อาการช้ำใน จะบำบัดรักษาอย่างไรก็ยังมีอาการลึกๆเหลืออยู่ เป็นเดือน เป็นปี เป็นสิบๆปี

        อาการปวดลึกๆข้างใน อาการช้ำข้างใน ก็คือร่องรอยของพลังงานที่สะเทือน สะท้อน กระแทกเข้ามาในร่างกายเรา ไม่ว่าจะมาจากการใช้ชีวิตประจำวัน หรือพลังงานที่ได้รับเข้ามาจากอุบัติเหตุ เมื่อซึมซับเข้ามาในร่างกาย แล้วคลายพลังงานเหล่านี้ออกไปไม่ได้ ก็จะสั่งสมอยู่ภายในแนวเส้น ในร่างกายเรา

      ก่อนอื่นเราต้องแยกอาการเจ็บป่วยของร่างกายเราตามธาตุดินน้ำลมไฟ อาการเจ็บป่วยในร่างกายเราเกิดจากความไม่สมดุลของธาตุทั้งสี่ ไม่ใช่แค่ธาตุดินและธาตุน้ำเท่านั้น
       สาเหตุที่เราบำบัดอาการเรื้อรังต่างๆไม่ได้ ส่วนใหญ่เกิดจากการที่เราไม่ค่อยได้เน้นการปรับสมดุลของธาตุลม และธาตุไฟ เมื่อลมมีอยู่ทุกอณูของร่างกาย ลมในกายก็ไหลเวียนตามแนวเส้น
      เปรียบการไหลเวียนของลมในกาย เหมือนกับการไหลเวียนของน้ำในท่อระบายน้ำ
ทั้งลม ( อากาศ) และน้ำ ต่างก็คือพลังงานรูปแบบหนึ่ง ถ้าอยู่ในพื้นที่ๆจำกัด ก็จะทำให้มีมวล มีน้ำหนัก

       ถ้าท่อระบายน้ำอุดตัน น้ำก็ไม่สามารถไหลผ่านท่อ ไหลออกไปที่ปลายท่อได้ เมื่อน้ำไหลผ่านไปไม่ได้ นานวัน น้ำก็จะเน่าเสีย และถ้าหากมีฝนตกลงมา น้ำที่อยู่บนพื้นถนนก็ไม่สามารถไหลลงสู่ท่อระบายน้ำได้ จึงเกิดการท่วมขังของน้ำบนพื้นถนน  เพียงแค่เราลอกท่อระบายน้ำ ให้ไหลโล่ง นำขยะหรือดินที่ไหลไปกองในท่อระบายน้ำออก น้ำที่ท่วมอยู่บนพื้นถนนก็จะไหลลงมาที่ท่อระบายน้ำโดยอัตโนมัติ การท่วมขังของน้ำบนพื้นถนนก็จะค่อยๆลดระดับลง และแห้งหายไปในที่สุด
   
        ในสภาวะปกติ ลมในกายเราไหลเวียนเข้าและออกตามรูขุมขนต่างๆทั่วร่างกาย
เข้าออกได้ตามข้อกระดูกต่างๆ
เข้าและออกที่ปลายมือ-ปลายเท้า –ศรีษะ 
เข้าและออกตามทวารต่างๆ ตา หู จมูก ปาก ทวารหนัก และทวารเบา
        ส่วนพลังงานที่ร่างกายเราได้รับเข้ามาจากภายนอก จากทุกๆอิริยาบทของร่างกายเรา จากอุบัติเหตุ มีการสะเทือน สะท้อน กระแทก กระชาก พลังงานเหล่านี้ซึมซับเข้ามาในร่างกายเรา เคลื่อนไปกับธาตุลมที่เคลื่อนไหลอยู่ในแนวเส้น

         การซึมซับพลังงานด้านนอกเข้ามา เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้การไหลเวียนของธาตุลมในร่างกายเราเสียสมดุลไป  เพราะพลังงานที่ซึมซับเข้าไป เมื่อไหลผ่านมาตามแนวเส้น เข้ามาอยู่ในพื้นที่จำกัด แล้วไม่สามารถเคลื่อนไหลออกไปได้ ก็จะเกิดการสั่งสมพลังงาน  ณ.บริเวณนั้นๆ พลังงานเมื่อมีการสั่งสมมากขึ้นก็จะมีมวล มีน้ำหนัก เมื่อมีมวลมีน้ำหนัก ก็จะทำให้แนวเส้นที่พลังงานไปสั่งสมอยู่นี้เกิดการโป่งพองขึ้นมา
        เหมือนกับการที่เราเป่าลูกโปร่ง เมื่อเราเป่าให้ลมเข้าไปในลูกโปร่งโตแค่ครึ่งใบ ลมที่เข้าไปอยู่ภายในผิวลูกโปร่ง ก็จะทำให้ลูกโปร่งมีขนาดโตขึ้น เวลาเรากด บีบลูกโปร่งก็ยังนิ่ม ยังมีความยืดหยุ่นดี บีบไปลูกโปร่งก็ไม่แตก ความดันของลมที่อยู่ในลูกโปร่งแค่ครึ่งเดียว คือ50% 
      แต่ถ้าเราเป่าลูกโปร่งให้โตจนเต็มใบ ลมเข้าไปในลูกโปร่งจนเต็มที่ ถ้าเราเป่าเพิ่มเข้าไปอีก ลูกโปร่งก็จะแตก หรือถ้าเราบีบลูกโปร่งที่โตเต็มใบ ลูกโปร่งก็จะแข็ง ไม่เหลือความยืดหยุ่น ถ้าเราออกแรงบีบลูกโปร่งใบนี้ ลูกโปร่งก็แตก ความหนาแน่น ความดันของลมที่อยู่ในลูกโปร่งนี้ให้เท่ากับ100%  แต่ร่างกายเรา ผิวหนังเรามีความยืดหยุ่นมากกว่าผิวลูกโปร่ง แนวเส้นเราก็มีความยืดหยุ่นมากกว่าผิวลูกโปร่ง
        พลังงานที่เคลื่อนเข้ามาในร่างกาย เมื่อเข้ามาก็จะสั่งสมตามแนวเส้น แล้วค่อยๆแพร่กระจายไปตามแนวเส้น แนวกล้ามเนื้อ แพร่ไปสู่ช่องว่างในร่างกาย เช่นช่องท้อง ภายในกระโหลกศรีษะ 
        พลังงานที่สั่งสมอยู่ในแนวเส้น ก็จะทำให้แนวเส้นมีลักษณะโป่งพองขึ้นมา เช่น อาการเส้นตึง นิ้วล็อค อาการหลังตึงหลังแข็ง อาการเส้นคอตึงบวมขึ้นมา อาการเส้นเลือดขอด
      พลังงานสั่งสมอยู่ในช่องท้อง ก็จะทำให้อวัยวะต่างๆในช่องท้องเสียสภาพการทำงานไป กล้ามเนื้ออวัยวะนั้นๆเสียสภาพการทำงานไป ( ฟื้นฟูการทำงานให้กลับมาทำงานตามปกติได้ )  อาการที่เกิดกับมดลูก หัวใจ ตับ ไต กระเพาะอาหาร กระเพาะปัสสาวะ อวัยวะทุกๆอย่างที่อยู่ในช่องท้อง พลังงานที่สั่งสมอยู่นี้จะเข้าไปกดทับ ทำให้การขยับเคลื่อนไหวอวัยวะได้ไม่ปกติ เช่น ลมหรือพลังงานไปบีบกระเพาะอาหาร ทำให้กระเพาะอาหารหดตัวแล้วขยายตัวไม่ขึ้น จึงทำให้กระเพาะอาการเล็กลงตามขนาดที่หดตัว แล้วไม่สามารถขยายตัวขึ้นมา มีผลทำให้พลังงานกล ที่ช่วยในการย่อยด้อยลงไป การคลุกเคล้าน้ำย่อยกับอาหารที่จะย่อยก็มีน้อยลง ทำให้เกิดอาการอาหารไม่ย่อย อืดท้องเมื่อขนาดของกระเพาะเล็กลง การระเหยของน้ำย่อย ในกระเพาะจึงสามารถผ่านขึ้นไปถึงบริเวณลำคอ
ฯลฯ
     พลังงานอยู่ในช่องกระโหลกศรีษะ พลังงานจะกระจายไปกดทับเนื้อสมอง เส้นเลือดสมอง ตา หู คอ จมูก ปาก ทำให้กล้ามเนื้อ เส้นเลือด เส้นประสาทที่ไปหล่อเสี้ยงก็เสียสภาพการทำงานไป 
      พลังงานที่อั้นอยู่บริเวณแนวเส้น ตามข้อกระดูกต่างๆ ก็จะไปกดทับกล้ามเนื้อ กดทับอวัยวะ กดทับเส้นประสาท อย่างเช่นอาการหมอนรองกระดูกเคลื่อนทับเส้นประสาทขา ฯลฯ

        ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ เพื่อแยกแยะให้เข้าใจว่า การบำบัดร่างกายคนเรา การบำบัดให้กล้ามเนื้อ อวัยวะ ให้หายจากอาการเจ็บ อักเสบ การบวม การขับถ่ายอุจจาระ เป็นการบำบัดธาตุดิน
         การบำบัดให้เลือด น้ำเหลือง ไหลเวียนดีขึน การขับถ่ายปัสสาวะ เป็นการบำบัดธาตุน้ำ
         การกดนวดที่เราบอกว่านวดให้เลือดลมเดิน ต้องขยายความหน่อยว่า .” นวดเพื่อให้เลือดลมเดิน ทำให้ลมในกายไหลเวียนเคลื่อนจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง สักระยะหนึ่งลมที่เคลื่อนออกไปก็จะไหลย้อนกลับมาที่เดิม หรือทำให้ลมที่ไหลเวียนในร่างกาย ให้ไหลเวียนออกนอกร่างกาย ”
      ถ้าการไหลเวียนของลม ยังคงเคลื่อนไหลอยู่ในกาย ไม่ไหลออกนอกกาย พลังงานที่ซึมซับเข้ามาในกาย ก็ไม่สามารถเคลื่อนออกไปนอกกายได้ พลังงานที่สั่งสมจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  ก็จะส่งผลถึงแนวเส้น คือพลังงานก็จะสะสมอยู่บริเวณนั้นๆ พลังงานมีมวล มีน้ำหนัก ก็ไปกดทับอวัยวะ กดทับกล้ามเนื้ออวัยวะต่างๆ เมื่อพลังงานสั่งสมอยู่กับที่ ก็จะทำให้ธาตุไฟกำเริบขึ้น เกิดความรู้สึกว่าในร่างกายร้อนเพิ่มขึ้น แต่เมื่อวัดไข้ วัดอุณหภูมิในร่างกาย ผลก็คือไม่มีไข้ เพราะว่าความร้อนที่เกิดขึ้นนี้ เป็นความร้อนที่เกิดขึ้นเนื่องจากธาตุลมขัด ไม่ไหลเวียนออกนอกร่างกาย
     สำหรับความร้อน หรือไข้ที่เกิดขึ้นจากธาตุดิน ธาตุน้ำ เป็นธาตุที่เราเห็นได้ จับต้องได้  สัมผัสได้ เมื่อเราใช้ปรอทวัดอุณหภูมิในร่างกาย จึงสามารถตรวจวัดความผิดปกติของธาตุดินและธาตุน้ำได้ เราจึงทราบว่าเราเป็นไข้ เพียงแค่เรารักษาธาตุดิน ธาตุน้ำให้กลับมาสมดุล อาการไข้ก็จะหายไป
     แต่สำหรับอาการตัวร้อนจากธาตุลมที่ขัด เพียงแค่เราทำให้ลมที่อั้นอยู่ในแนวเส้น ที่อั้นอยู่ในร่างกาย ให้เคลื่อนไหลออกนอกร่างกาย ลมก็จะนำพาพลังงานที่สั่งสมในร่างกาย ให้ค่อยๆคลายตัว ให้ไหลออกนอกร่างกายไปพร้อมกับลมที่เคลื่อนออก อาการร้อนที่ไม่มีไข้ ก็จะค่อยๆคลายออก และร่างกายก็จะกลับมาเป็นปกติ ไม่ร้อนอยู่ข้างในอีกต่อไป

      การบำบัดอาการในร่างกายเรา จึงควรเป็นการบำบัดธาตุทั้งสี่คือดินน้ำลมไฟ ในที่สุด ก็จะทำให้อาการที่เราเคยรักษาไม่ได้ เคยเรื้อรังมา ก็จะบำบัดรักษาได้ และหายได้ในที่สุด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น