วันพฤหัสบดีที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2561

หมอนรองกระดูกเคลื่อนทับเส้นประสาทขา

หมอนรองกระดูกเคลื่อนทับเส้นประสาทขา

                วันนี้พูดเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่ง เป็นอาการต่อเนื่องที่มาจากระยาง ทางด้านบนของร่างกาย คือศรีษะ และแขน โดยปกติแล้วพลังงานที่เข้ามาทางด้านบนจะมาสะสมอยู่บริเวณบ่า รักแร้ สะบัก แนวร่องสะบักกับกระดูกสันหลัง ทุกๆแนวเป็นจุดที่ผ่านมารวมกันของพลังงาน ทุกๆอิริยาบท ทุกๆความเครียด ทุกๆเสียงที่ดังสะเทือนมากระทบที่หู  ทุกๆการพักผ่อนที่ไม่พอ ทุกๆครั้งที่เราใช้ศีรษะโหม่งลูกบอล ทุกๆครั้งที่เราตบลูกวอลเล่ย์ ทุกๆครั้งที่โดนแรงสะท้อนกลับมาที่แขนจากการยิงปืน ทุกๆครั้งที่แขนเรากระชาก ทุกๆครั้งที่เราโดนชกที่แขน ทุกๆครั้งที่เราใช้มือกดนวดให้คนอื่น ทุกๆครั้งที่เราใช้นิ้วโป้งในการกดนวดให้คนอื่น ฯลฯ
         ทุกอิริยาบทที่กล่าวมา เป็นการใช้ชีวิตปกติของเรา แต่ก็ยังมีการบาดเจ็บที่เกิดจากอุบัติเหตุ ที่พลังงานก็กระเทือนเข้ามาในกายด้วย เช่น ทุกๆครั้งที่เราล้มแล้วเอาแขนยันพื้น อุบัติเหตุรถชนศีรษะกระแทก แขนกระแทก แขนกระชาก ฯลฯ
          ทั้งหมดนี้ให้เห็นทิศทางของพลังงาน ที่เกิดมาจากระยางส่วนบนของร่างกาย เข้ามาทางศรีษะพลังงานจะมารวมกันที่แนวบ่า และแนวร่องสะบักกับกระดูกสันหลัง และสุดท้ายไปกองรวมกันบริเวณสะบัก
         เข้ามาทางแขนพลังงานจะมารวมกันที่ หัวไหล่ รักแร้ แนวบ่า และแนวร่องสะบักกับกระดูกสันหลัง และสุดท้ายไปกองรวมกันบริเวณสะบัก
          เมื่อพลังงานที่เข้ามาทางด้านบนไม่ว่าจะมาจากศรีษะ หรือแขน ก็จะมารวมกันที่สะบัก แล้วเคลื่อนลงมาด้านล่างร่างกายตามแนวหลังใต้แนวสะบัก ค่อยๆลงมาถึงแนวเอว แล้วพลังงานเคลื่อนตัดขวางเข้าหาแนวกระดูกสันหลัง เอว ข้อ 3-4-5
           ตรงนี้แหละที่เราจะมีความรู้สึกเวลาเราโดนกดนวด  เมื่อเขากดนวดลงที่แนวบ่า บ่าจะเบา แต่เราจะปวดหลังปวดเอว หน่วงๆขึ้นมา ผ่านไป2-3วัน เราก็จะปวดเมื่อยคอบ่าไหล่อีก เนื่องจากพลังงานเคลื่อนไหลกลับไปที่เดิม
           แนวกระดูกสันหลังเป็นเนื้อกระดูก แต่หมอนรองกระดูกมีลักษณะนิ่ม เคลื่อนไหลออกไปจากแนวปกติได้ ไปตามแรงดันของลมหรือพลังงาน ที่ไหลลงมาจากแนวสะบัก ที่มารวมตัวกันบริเวณแนวกระดูกสันหลังเอว จึงดันให้หมอนรองกระดูกเคลื่อนไปทับเส้นประสาทขา จึงทำให้เกิดอาการหมอนรองกระดูกเคลื่อนทับเส้นประสาทขา

               ดังนั้นถ้าเราสามารถนำลมหรือพลังงาน ที่สั่งสมอยู่บริเวณแนวกระดูกสันหลัง เอว นี้ออกไปได้ ก็จะทำให้หมอนรองกระดูกไม่เคลื่อนไปทับเส้นประสาทขา อาการที่เราขัดที่สลักเพชร สะโพก ชาเมื่อยบริเวณพับเข่าด้านนอก  แนวขาด้านหลังติดตาตุ่มนอก ชาบริเวณหลังเท้าบริเวณร่องนิ้วนาง-นิ้วก้อย อาการตามแนวเส้นประสาทขานี้จะหายไปโดยที่เราไม่ต้องไปกดนวดที่แนวเส้นประสาทขาเลย ( ตั้งแต่แนวสะโพกขสลักเพชร ลงมาถึงขา ถึงนิ้วก้อย )

             ในการนวดบำบัด เพียงแค่เรากดนวดท่านอนตะแคง ( เส้นข้างขาด้านใน ) ทำให้ลม หรือพลังงานที่สั่งสมอยู่นี้เคลื่อนไหลออกนอกกาย
             เรากดนวดลงบนบริเวณขาท่อนบน ลมเคลื่อนไหลลงมาทางด้านล่าง วิ่งร้อนออกตามรูขุมขน  ร้อนออกที่หัวเข่า ร้อนออกข้อเท้า ร้อนออกบริเวณข้อกระดูกเท้า  วิ่งร้อนออกปลายนิ้วเท้า
             เมื่อความหนาแน่นของลมบริเวณขาน้อยลง ความหนาแน่นของลมหรือพลังงานที่อยู่ที่เอว หลังใต้แนวสะบัก บ่า แขน ศรีษะ ก็จะค่อยๆไหลลงมาด้านล่างลำตัว เป็นการแพร่ของลม ไหลลงมาที่บริเวณขาท่อนที่โดนกดนวดอยู่
      อาศัยความเฉื่อยของลมที่ไหล ร้อนออกตามรูขุมขน ตามข้อเข่า วิ่งร้อนออกปลายเท้า ก็จะลากเอาลมที่แพร่มาจากด้านบน มาจากเอว ให้ไหลออกตามรูขุมขน ตามข้อเข่า ข้อเท้า ปลายเท้า
         เมื่อเรากดนวดทำให้ลมไหลออกด้านล่างได้มาก พลังงานที่สั่งสมที่เอวก็จะลดลงมาเอง ตามลำดับ จนในที่สุดพลังงานหรือลมที่ไปกดทับหมอนรองกระดูกอ่อนแรงลง แนวเส้นประสาทขาก็จะโดนกดทับน้อยลงไปเรื่อยๆ และไม่กดทับ อาการก็ค่อยๆหายไปได้ในที่สุด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น