วันจันทร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2561

ป่วยแล้ว ไม่ต้องเลิกทำอิริยาบทเดิมๆ

ป่วยแล้ว ไม่ต้องเลิกทำอิริยาบทเดิมๆ

        อาการป่วยที่เกิดจากการที่เราทำงาน หรือออกกำลังกล้ามเนื้อ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกล้ามเนื้อบาดเจ็บ เรื้อรัง จะรักษาอย่างไรก็ไม่หายถ้าเราไม่เลิกพฤติกรรมนั้นๆ  รักษาไปอาการเดี๋ยวก็กลับมาอีก
       คนส่วนมากจะเคยได้ยินคำที่ว่านี้ จริงๆก็เป็นเช่นนั้น เพราะการที่ร่างกายขยับเขยื้อนอวัยวะส่วนใด จะมีพลังงานเข้ามาสั่งสมในร่างกายเรา เช่น
   ยกของหนัก พลังงานก็จะเข้ามาทางมือ แขน ไหล่
   ทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ พลังงานก็จะเข้ามาทางมือ แขน ไหล่ ตา ศรีษะ
   ตีแบดมินตัน พลังงานก็จะเข้ามาทางมือ แขน ไหล่ ตา ศรีษะ เท้า
   ขับรถ พลังงานก็จะเข้ามาทางมือ แขน ไหล่ ตา ศรีษะ เท้า
   ความเครียด การนอนไม่พอ นอนดึก  ก็มีส่วนในการทำให้เส้นตึง เลือดลมไม่ไหลเวียน

         เมื่อร่างกายเรามีอาการบาดเจ็บเรื้อรังจากการทำงาน จากการเคลื่อนไหวร่างกายในชีวิตประจำวัน พลังงานที่ร่างกายรับเข้ามานี้ สั่งสมเพิ่มขึ้นทุกวัน ทุกทิศทุกทาง เมื่อพลังงานเหล่านี้ไม่ได้มีการระบายออกมา การสั่งสมของพลังงาน นั้นจะมากขึ้นตลอดเวลา ทุกๆวัน จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี เป็นสิบๆปี

        เหมือนกับเขื่อนเก็บน้ำขนาดใหญ่ ถ้าเราเอาแต่เก็บน้ำเข้าเขื่อน ไม่ระบายน้ำออกจากเขื่อนเลย สักวันหนึ่ง น้ำจะเต็มเขื่อน วันที่น้ำเต็มเขื่อน ปริมาณน้ำมหาศาลที่อยู่ในเขื่อน ความดันของน้ำที่สะสมจะมากที่สุด ที่ตัวเขื่อนอาจจะรับไม่ไหว แต่ก่อนที่ระดับน้ำจะสูงไปจนล้นเขื่อน  ตัวเขื่อนก็ยังมีสปริงเวย์ ( ทางระบายน้ำล้น ) เป็นทางที่จะนำน้ำส่วนเกิน ที่จะมากเกินไป ให้ไหลออกทางสปริงเวย์ จึงเป็นการป้องกันไม่ให้น้ำลงไปในเขื่อนมากจนเต็ม

      ร่างกายเราเมื่อพลังงานสั่งสมเข้ามาในร่างกาย จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี พลังงานก็จะสั่งสมอยู่ในแนวเส้น ต้นคอ ท่อนแขน ท่อนขา ตามแนวบ่า โคนแขน โคนขา แล้วพลังงานจะค่อยๆ แพร่กระจายไปครอบคลุมแนวเส้น ที่ต่อเนื่องกัน พลังงานแพร่ไปตามอวัยวะ กล้ามเนื้อต่างๆ

       จนถึงจุดที่ร่างกายเรา จะรับพลังงานเหล่านี้ไม่ได้แล้ว ร่างกายเราจะมีวิธีการระบายพลังงานนั้นๆออกไป  โดยออกมากับลมที่ไหลออกนอกร่างกาย เช่นการเรอ การหาว การไอ การจาม การผายลม ลมที่ออกตามข้อกระดูกต่างๆ ลมที่ไหลออกตามทวารต่างๆ ลมออกหู ลมออกที่ตา ลมออกที่ปาก ลมออกที่ทวารหนัก ลมออกที่ทวารเบา ลมออกช่องคลอด การกรน  ทุกๆส่วนของร่างกายที่ลมไหลออกไปได้ ลมจะนำพลังงานที่สั่งสมจนจะล้น ให้ออกไปนอกร่างกาย และการนวดไล่ลมก็เป็นการนวดบำบัดเพื่อที่จะนำพลังงานที่สั่งสมนี้ให้คลายออก โดยไหลไปกับลมที่วิ่งออกนอกร่างกายเรา

       กรณีของผู้ป่วยท่านหนึ่งอยู่แถวลาดพร้าว ก่อนนวดมีอาการหลักๆ คือลมออกหู ปวดมึนศรีษะ ปวดหลังปวดเอว นิ้วล็อค ยืนทำงานได้ไม่นานจะปวดเมื่อย เส้นขาตึง
       หลังจากนวดมาได้ระยะเวลาหนึ่ง ประมาณ7-8 เดือน อาการต่างๆก็ค่อยๆหายไป อาการลมออกหูเบาลงมา อาการปวดมึนศรีษะก็หายไป อาการปวดหลังปวดเอวก็หายไป นิ้วโป้งที่เคยตึงจะล็อคเมื่อ3-4เดือนก่อนก็คลายหายไป ระยะหลังๆอาการล้าแขนขาจากการขับรถก็หายไป ล่าสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาเล่าให้ฟังว่าสามารถยืนทำงานหลายๆชั่วโมงได้ โดยหลังจากทำงานเสร็จไม่มีอาการเมื่อยล้าเหมือนก่อนนี้ที่เคยเป็น

          ที่ยกตัวอย่างกรณีนี้ขึ้นมา เพราะการที่เรานวดไล่ลม ทำให้ลมไหลเวียนออกนอกกายได้ พลังงานที่สั่งสมอยู่ก็จะเคลื่อนไหลออกนอกกายเราด้วย ทำให้ความดันของลมและพลังงานที่หนาแน่นอยู่ ให้เบาบางลง เมื่อพลังงานคลายออกไปเรื่อยๆ อาการตึงของแนวเส้นก็จะคลายตัวลงมาเอง อาการที่ลมและพลังงานไปกดทับกล้ามเนื้อ กดทับอวัยวะก็จะน้อยลงไปเรื่อยๆ จนพลังงานที่เคยสั่งสมอยู่ออกมาได้มากแล้ว อาการบาดเจ็บเรื้อรังก็จะค่อยๆคลายหายไปเอง ( ดูจากลมที่วิ่งร้อนออกตามรูขุมขน ตามท่อนกระดูก ของร่างกายซีกที่เรานวดไล่ลมอยู่ )

       จึงมาถึงคำกล่าวที่ว่า อาการป่วยที่เกิดจากการที่เราทำงาน หรือออกกำลังกล้ามเนื้อ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกล้ามเนื้อบาดเจ็บ เรื้อรัง จะรักษาอย่างไรก็ไม่หายถ้าเราไม่เลิกพฤติกรรมนั้นๆ  รักษาไปอาการเดี๋ยวก็กลับมาอีก  ถ้าเรานวดไล่ลม นำพลังงานที่สั่งสมอยู่ในกายออกไปนอกร่างกายได้ เรายังสามารถใช้ชีวิตประจำวันของเราอย่างปกติได้ เรายังคงสามารถทำงานต่างๆที่เราทำอยู่ได้ แค่เราต้องมีการปรับไล่ลมในกาย ให้ไหลออกนอกกายด้วย พลังงานก็จะไม่สั่งสมจนแน่นตึง จนทำให้เราบาดเจ็บขึ้นมาอีก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น