วันอาทิตย์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

อาการที่ต้องบำบัดโดยท่านอนตะแคง

อาการที่ต้องบำบัดโดยท่านอนตะแคง

           อาการป่วยที่เริ่มต้น เกิดจากส่วนบนของร่างกาย จากศรีษะ แขน อาการคอบ่าไหล่ ก็เป็นอาการที่เกิดจากการที่ธาตุทั้งสี่ ดิน-น้ำ-ลม-ไฟ ขาดความสมดุลย์ซึ่งกันและกัน
           กล้ามเนื้อตึง แข็ง ทำให้เลือดลมไหลเวียนไม่สะดวก เมื่อลมไหลออกนอกกายไม่ได้ พลังงานที่เคยสะเทือนเข้ามาในแนวเส้น จึงไม่สามารถเคลื่อนไหลออกไปได้ ทำให้เกิดการสั่งสมของพลังงาน เคลื่อนจากส่วนบนของร่างกาย ค่อยๆคืบคลาน ลงไปตามแนวเส้นนี้
        พลังงานที่เข้ามาทางศรีษะและแนวแขน จะมารวมกันที่แนวเส้นบ่า ค่อยๆไหลลงไปที่แนวสะบัก ไหลลงไปตามแนวหลังใต้แนวสะบัก ต่อไปถึงแนวเอว ตัดขวางเข้าหาแนวกระดูกสันหลังเอว ข้อที่3-4-5 พลังงานเมื่อมาถึงแนวเอวก็จะเคลื่อนผ่านลงไปทะลุแนวกระเบนเหน็บ ลงไปที่แนวข้างขาด้านใน บริเวณขาหนีบ เคลื่อนลงมาอีก ผ่านเข้าไปที่เข่า ลงมาตามแนวเส้นหน้าแข้งด้านใน วิ่งผ่านตาตุ่มด้านใน ผ่านข้อเท้าด้านใน มาที่แนวร่องนิ้วโป้งนิ้วชี้บริเวณฝ่าเท้า
       พลังงานเมื่อเคลื่อนตัวลงมา ถึงเอว ถึงขา อาการที่เราเคยปวดเมื่อยล้าด้านบน เช่นปวดต้นคอ ปวดแขน ปวดเมื่อยบ่าไหล่ ก็จะหายไป จะมีอาการปวดแค่บริเวณเอวและต้นขาเท่านั้น อาการด้านบนที่หายไป ไม่ได้หายไปไหน ก็จะฝังเก็บไว้ภายในแนวเส้น สั่งสมพลังงานนั้นไว้
 ถ้าเราไม่ดึงลมให้ออกนอกกายตามรูขุมขน ตามข้อกระดูก พลังงานที่สั่งสมอยู่นี้ก็จะออกไปจากกายเราไม่ได้
 จะค่อยๆเก็บ ซึมซับพลังงานรอบใหม่ที่จะเข้ามาทางคอบ่าไหล่อีก พลังงานก็จะทับถมเป็นชั้นๆ รอบแล้วรอบเล่า

            เราบำบัดอาการที่เกิดจากคอบ่าไหล่นี้ ทุกกรณีจะเริ่มต้น กดนวดที่แนวข้างขาด้านใน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแนวเส้น ที่ลมหรือพลังงานเคลื่อนผ่านลงมา เมื่อเรากดนวดไล่ลม ทำให้พลังงานไหลผ่านออกที่ข้อหัวเข่าได้ พลังงานในบริเวณจุดที่กดนวดเบาบางลง ความหนาแน่น ความดันของพลังงานบริเวณขาท่อนบนจนถึงหัวเข่าก็ลดน้อยลงไปจากเดิม
          จากความหมาย การนวดเส้นคือการนวดเส้นที่มีเลือดและลมแล่นอยู่ ดังนั้นเมื่อเรากดนวดเส้นที่แนวเส้นข้างขาด้านใน จนความหนาแน่นของพลังงานลดลงมาแล้ว ความหนาแน่นของพลังงานที่อยู่ในแนวด้านบนเหนือจากแนวที่กดนวดยังมีความหนาแน่นพลังงานมากอยู่ และมากกว่าที่แนวข้างขาด้านใน
         พลังงานที่อยู่ในแนวด้านบนเหนือจากแนวที่กดนวด ก็จะเกิดการแพร่ มีการไหลของพลังงานผ่านมาที่ขาท่อนบน และเกิดแรงเฉื่อย พลังงานจะไหลตาม ไปออกที่ข้อหัวเข่า ซึ่งเป็นข้อแรกที่เรานวดไล่ลมที่ขาท่อนบนแล้วต้องไปออกที่เข่า เมื่อเรากดนวดไล่ลมไปเรื่อยๆ พลังงานก็จะค่อยๆทะลุทะลวงไหล ผ่านตามท่อนกระดูก ไปออกที่ข้อกระดูกต่างๆ เริ่มตั้งแต่ออกที่ปลายเท้า แล้วไปออกที่ปลายแขน สุดท้ายพลังงานก็จะเคลื่อนร้อนออกพร้อมกันที่ปลายเท้า ปลายแขน และเคลื่อนร้อนออกที่ศรีษะ ซึ่งเป็นที่สุดของการไหลเวียนของลมในกายนี้

       ดังนั้นอาการต่างๆที่เกิดจากด้านบนเช่น อาการปวดที่ศรีษะ ไมเกรน น้ำในหูไม่เท่ากัน ลมออกหู อาการคอบ่าไหล่ บ่าตึง สะบักจม ยกแขนไม่ขึ้น ปวดแขน แขนตึง ปวดข้อมือ ปวดอุ้งมือ นิ้วล็อค ปวดหลัง – ปวดเอว  อาการหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทขา เพียงแค่เรากดนวดให้ลมไหลออกนอกกายได้ เราก็จะสามารถแก้ไขอาการป่วยเรื้อรังของเราได้ในที่สุด

 หมายเหตุ
      พลังงานที่สะเทือน สะท้านเข้ามาในร่างกายเรา ไม่ว่าจะทางศรีษะหรือทางแขน พลังงานทั้ง2ทิศทางนี้ จะเข้ามารวมกันอยู่ที่แนวบ่า-สะบัก หลังจากนั้นจะเคลื่อนไหลลงมาด้านล่างของร่างกายตามแนวหลังใต้แนวสะบัก พลังงานเคลื่อนต่อไปในแนวตัดขวางเข้าหาแนวกระดูกสันหลังบริเวณกระดูกสันหลังเอวข้อที่3-4-5 เมื่อพลังงานไปกองรวมอยู่ที่แนวกระดูกสันหลังเอว จึงเกิดความดัน มีมวล มีน้ำหนัก ทำให้แนวเส้นบริเวณเอวโป่งพองขึ้น และไปกดทับ ดันหมอนรองกระดูกที่มีลักษณะนิ่ม ให้เคลื่อนออกจากที่ตั้งไปกดทับเส้นประสาทขา มีผลทำให้เกิดอาการไฟช็อต แปลบ ลงไปที่สะโพก สลักเพชร แนวขา ข้อพับขา แนวตาตุ่มนอก และอาการกดทับไปได้ไกลสุดที่ปลายนิ้วก้อย ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นแนวเส้นประสาทขา การที่เรากดนวด บำบัดแนวที่มีอาการแปลบๆหรือเสียวชานี้บ่อยๆ จะมีผลทำให้เส้นประสาทขาเกิดอาการช้ำได้

       ส่วนพลังงานจะเคลื่อนไหลต่อไป ลงไปที่กระเบนเหน็บ แนวข้างขาด้านใน แนวหน้าแข้งด้านใน ตาตุ่มใน ลงไปสุดที่ฝ่าเท้าบริเวณร่องนิ้วโป้งและนิ้วชี้ แนวนี้ต่างหากที่เป็นต้นเหตุของอาการ และเป็นแนวที่ใช้ในการบำบัด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น