วันจันทร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2560

พลังงานที่มากระแทกร่างกายแล้วไปไหน ( ตอน 7.5 )

พลังงานที่มากระแทกร่างกายแล้วไปไหน ( ตอน 7.5 )

หมอนรองกระดูกเคลื่อนทับเส้นประสาทขา
เพียงแค่เราทำให้ลมไหลเวียนได้ ไหลเวียนออกนอกร่างกายตามทวารต่างๆ ตามข้อต่างๆ ตามรูขุมขนต่างๆทั่วร่างกาย พลังงานที่อัดแน่นอยู่ภายในก็จะคลายตัวออกมาเอง
1. พลังงานที่แทรกสะท้านเข้ามาทางศีรษะ ( กระหม่อม )
2. พลังงานที่แทรกสะท้านเข้ามาทางแขน ( ฝ่ามือ นิ้วมือ )
3. พลังงานที่แทรกสะท้านเข้ามาเนื่องจากอุบัติเหตุ ศีรษะโดนถูกกระแทก ชนกระชากตามท่อนแขน
ทุกๆการกระทำ เมื่อเราถูกชน ถูกกระแทกทางศีรษะหรือแขน พลังงานก็จะวิ่งเข้ามาตามแนวเส้น ชนที่ศีรษะพลังงานที่เข้ามาก็จะมาสิ้นสุดบริเวณแนวบ่า ถ้ามีการกระทำที่แขนพลังงานที่เข้ามาจะสิ้นสุดอยู่ที่บ่าและบริเวณสะบัก ทั้งนี้เนื่องจากบ่าและรักแร้ สะบักเป็นแนวของร่างกายที่เชื่อมต่อกับระยาง แขน และศีรษะ
พลังงานที่เข้ามาทางด้านบนของร่างกายจะมารวมกันอยู่บริเวณแนวบ่า สะบัก แต่ถ้าเราไม่บำบัด อาการขัดของลมนี้ ต่อไปที่แนวบ่า พลังงานก็จะค่อยๆเคลื่อนลงมาตามแนวเส้น จากสะบัก ไหลลงมาตามแนวหลังใต้แนวสะบัก
ถ้าเราปล่อยให้อาการขัดนี้ยังเกิดขึ้นต่อเนื่อง พลังงานก็จะค่อยๆเคลื่อนไปตามแนวเส้น ตัดขวางเข้าเอว ( หมอนรองกระดูกเอว ข้อที่3-4-5 ) เราจึงมีอาการปวดเอว ที่เรียกอาการนี้ว่า หมอนรองกระดูกเคลื่อนทับเส้นประสาทขา
ถ้าเราปล่อยให้อาการลมขัดนี้ยังเกิดขึ้นต่อเนื่อง พลังงานก็จะค่อยๆเคลื่อนไปตามแนวเส้น ผ่านลงมาที่เส้นข้างขาด้านใน ผ่านลงมาเส้นหน้าแข้งด้านใน ตาตุ่มในและฝ่าเท้าใต้แนวร่องนิ้วโป้ง-นิ้วชี้
อาการขัดในแนวเส้นที่ลงมาที่ขา ไม่ได้ส่งผลให้ร่างกายเราบาดเจ็บ ถ้าเราไม่กดนวดที่แนวเส้นข้างขาด้านใน ก็จะไม่ทราบถึงความตึงของแนวเส้น
ถ้าเราไม่ได้แก้ไขดึงพลังงานให้ออกนอกกาย พลังงานก็ไม่ได้หายไปไหน ก็คงสั่งสมเก็บไว้ในแนวเส้นนี้ต่อไป จนที่สุดลงไปถึงแนวตาตุ่มใน และฝ่าเท้าใต้แนวร่องนิ้วโป้ง-นิ้วชี้ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งรอบที่ลงมาจากด้านบนของร่างกาย สั่งสมพลังงานมาถึงด้านล่างของร่างกาย
หมอนรองกระดูกเคลื่อนทับเส้นประสาทขา เป็นอาการข้างเคียงของการที่พลังงานเคลื่อนตัวจากด้านบนของร่างกาย ลงมาถึงเอว แนวหมอนรองกระดูกเอวข้อที่3-4-5
ยิ่งกดทับนานมากเท่าใด ยิ่งนานวันขึ้น พลังงานที่สั่งสมที่เอวยิ่งมากขึ้น ลมที่กองอยู่ที่เอวก็มากขึ้น ไปเพิ่มความดันของลมที่อยู่ในแนวเอว ลมก็ไปกดทับหมอนรองกระดูก ทำให้หมอนรองกระดูกเคลื่อนออกจากแนวปกติมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งมากขึ้น เส้นประสาทขาก็ยิ่งโดนกดทับแรงขึ้น ผลที่เกิดขึ้นคือ มีอาการปวด ชา ปวดร้าว ตามแนวสะโพก ( สลักเพชร) ขาแนวตาตุ่มนอก ชาถึงนิ้วก้อยเท้า
จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมคนที่มีอาการนี้เรื้อรัง จึงไม่สามารถยกของหนักได้ บางครั้งยกขันน้ำแค่ขันเดียวก็มีอาการปวดร้าวลงมาที่นิ้วก้อยเท้าแล้ว
บางคนตึงหลังจนเอี้ยว บิดตัวตัวไม่ได้
บางคนปวดหลัง-ปวดเอว-ขัดที่สลักเพชร
อาการที่เกิดตั้งแต่แนวหมอนรองกระดูกเอวลงมา เป็นอาการที่เส้นประสาทขาโดนกดทับ เพียงแค่เราทำให้การไหลเวียนของลมตามเส้น เส้นข้างขาด้านในและเส้นหน้าแข้งด้านใน ให้ลมไหลเวียนไหลออกแค่ข้อหัวเข่า ให้ลมร้อนวิ่งผ่านออกตรงหัวเข่าไปให้ได้ ลมที่ออกที่เข่าได้ก็จะพาพลังงานที่สั่งสมอยู่ออกนอกกายไปด้วย ลมที่กองอยู่เต็มบริเวณหมอนรองกระดูกเอว ก็จะค่อยๆลดความหนาแน่นลง ความดันของลม ณ.บริเวณนั้นลดลงมา แรงที่ไปดันให้หมอนรองกระดูกเอวเคลื่อนตัวก็น้อยลง ส่งผลให้อาการกดทับเส้นประสาทขาก็น้อยลงตามกัน อาการปวดร้าวที่ขาก็ค่อยๆทุเลาลงมา
ถ้าเราทำให้การไหลเวียนของลมตามเส้น เส้นข้างขาด้านในและเส้นหน้าแข้งด้านใน ให้ลมไหลเวียนไหลร้อนออกไปตรงหัวเข่า ข้อเท้า และนิ้วเท้า อาการปวดหลัง เอว ก็ยิ่งเบาลง อาการกดทับเส้นประสาทขาก็เบาลงไปอีก อาการสะโพก ขา ปวดน้อยลงไป
ถ้าเราทำให้การไหลเวียนของลมตามเส้น เส้นข้างขาด้านในและเส้นหน้าแข้งด้านใน ให้ลมไหลเวียนไหลร้อนออกไปตรงหัวเข่า ข้อเท้า และนิ้วเท้า และไล่ต่อไปจนลมร้อนวิ่งออกปลายนิ้วเท้าและลมร้อนวิ่งขึ้นสะโพก เอว อาการหมอนรองกระดูกเคลื่อนทับเส้นประสาทขาที่เรื้อรังก็จะค่อยๆคลายตัวออก อาการปวดเอว สะโพก ปวดร้าวขา ก็จะค่อยๆทุเลา และหายไปเอง
และอาการที่สลักเพชร ก็จะหายได้โดยไม่ต้องไปกดนวดที่สลักเพชร เนื่องจากเป็นแนวที่เส้นประสาทขาโดนกดทับ ถ้าทำให้เส้นประสาทขาไม่โดนกดทับ อาการที่สลักเพชรก็หายไปเอง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น