วันศุกร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2560

พลังงานที่มากระแทกร่างกายแล้วไปไหน ( ตอน 7.3 )

พลังงานที่มากระแทกร่างกายแล้วไปไหน ( ตอน 7.3 )  

อาการไหล่ติด แขนชา มือชา
    เพียงแค่เราทำให้ลมไหลเวียนได้ ไหลเวียนออกนอกร่างกายตามทวารต่างๆ ตามข้อต่างๆ ตามรูขุมขนต่างๆทั่วร่างกาย พลังงานที่อัดแน่นอยู่ภายในก็จะคลายตัวออกมาเอง
    ปกติแล้วการบำบัดอาการต่างๆ จะทำเพียงแค่ทำให้อาการปวดหายไป อาการบวม อักเสบหายไป แต่อาการที่เกี่ยวกับพลังงานที่เข้ามาสั่งสมอยู่ภายในร่างกายไม่ได้มีการแก้ไขเลย    
1. พลังงานที่แทรกสะท้านเข้ามาทางศีรษะ ( กระหม่อม )
2. พลังงานที่แทรกสะท้านเข้ามาทางแขน ( ฝ่ามือ นิ้วมือ )
3. พลังงานที่แทรกสะท้านเข้ามาเนื่องจากอุบัติเหตุ ศีรษะโดนถูกกระแทก  ชนกระชากตามท่อนแขน    
ทุกๆการกระทำ เมื่อเราถูกชน ถูกกระแทกทางศีรษะหรือแขน พลังงานก็จะวิ่งเข้ามาตามแนวเส้น ชนที่ศีรษะพลังงานที่เข้ามาก็จะมาสิ้นสุดบริเวณแนวบ่า ถ้ามีการกระทำที่แขนพลังงานที่เข้ามาจะสิ้นสุดอยู่ที่บ่าและบริเวณสะบัก ทั้งนี้เนื่องจากบ่าและรักแร้ สะบักเป็นแนวของร่างกายที่เชื่อมต่อกับระยาง แขน และศีรษะ
      พลังงานที่เข้ามาทางด้านบนของร่างกายจะมารวมกันอยู่บริเวณแนวบ่า สะบัก  การที่เรานวดในแนวร่องบ่า ระหว่างกระดูกสันหลังและสะบัก จึงเป็นการปลดปล่อย เป็นการคลายกล้ามเนื้อ ทำให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น ทำให้ลมที่ขัดบริเวณนี้เคลื่อนตัวไหลออกนอกกายได้ และเมื่อลมไหลเวียนออกนอกกายได้ธาตุไฟที่กำเริบ คือตัวร้อนแต่ไม่มีไข้ ร่างกายเราก็จะค่อยๆเย็นลงจนเป็นปกติ นั่นคือการปรับสมดุลธาตุดินน้ำลมไฟในร่างกายเราให้กลับมาเป็นปกติ
        แต่ถ้าเราไม่บำบัด อาการขัดของลมนี้ ต่อไปแนวบริเวณบ่า สะบัก และแนวร่องสะบัก ก็จะมีพังผืดมาปกคลุม เนื่องจากกล้ามเนื้อยังคงบาดเจ็บต่อเนื่อง ร่างกายจึงยังคงสร้างพังผืดขึ้นมาคุ้มครองกล้ามเนื้อนั้น นานวันเข้าบริเวณที่พลังงานคั่งค้างอยู่คือแนวบ่า สะบัก แนวร่องสะบัก จึงมีชั้นผังพังผืดที่หนามากขึ้น
        ถ้าพังผืดที่อยู่ในชั้นกล้ามเนื้อปกคลุมบริเวณท่อนกระดูก เราจะเห็นชัดแค่ว่ากล้ามเนื้อหดหายลงไป และอาจจะมีการบวมอูมขึ้นมาของพังผืดรอบๆผิวหนังบริเวณนั้น
        แต่ถ้าพังผืดที่ยึดอยู่ในชั้นกล้ามเนื้อปกคลุมอยู่บริเวณข้อกระดูก เช่นพังผืดยึดบริเวณร่องสะบัก จะทำให้การเคลื่อนไหวของแนวสะบักไม่ดี บางครั้งยกแขนไม่ขึ้น บางครั้งเอามือไขว้หลังไม่ได้ ทำให้มือชา แขนชา
         ถ้าเราคลายกล้ามเนื้อบริเวณแนวบ่า สะบักนี้ได้การไหลเวียนของพลังงานที่สั่งสมในแนวเส้นก็จะไหลเวียนออกนอกกายที่ปลายแขนและศีรษะ
          แต่ถ้าเราปล่อยให้อาการขัดนี้ยังเกิดขึ้นต่อเนื่อง พลังงานก็จะค่อยๆเคลื่อนลงมาตามแนวเส้น จากสะบัก ไหลลงมาตามแนวหลังใต้แนวสะบัก
          ถ้าเราปล่อยให้อาการขัดนี้ยังเกิดขึ้นต่อเนื่อง พลังงานก็จะค่อยๆเคลื่อนไปตามแนวเส้น ตัดขวางเข้าเอว ( หมอนรองกระดูกเอว ข้อที่3-4-5 ) เราจึงมีอาการปวดเอว
           ถ้าเราปล่อยให้อาการขัดนี้ยังเกิดขึ้นต่อเนื่อง พลังงานก็จะค่อยๆเคลื่อนไปตามแนวเส้น ผ่านลงมาที่ข้างขาด้านใน ทำให้เกิดอาการหมอนรองกระดูกเคลื่อนทับเส้นประสาทขา
 แต่ผลข้างเคียงที่หมอนรองกระดูกเคลื่อนทับเส้นประสาทขา ยิ่งกดทับนานมากเท่าใด ยิ่งนานวันขึ้น พลังงานที่สั่งสมที่เอวยิ่งมากขึ้น คือลมที่กองอยู่ที่เอวก็มากขึ้น ความดันของลมที่อยู่ในแนวเอว ลมก็ไปกดทับหมอนรองกระดูก ทำให้หมอนรองกระดูกเคลื่อนออกจากแนวปกติมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งมากขึ้น เส้นประสาทขาก็ยิ่งโดนกดทับแรงขึ้น
            ผลที่เกิดขึ้นคือ แนวเส้นประสาทขาโดนกดทับ จึงมีอาการปวด ชา  ปวดร้าว ตามแนวสะโพก ( สลักเพชร) ขาแนวตาตุ่มนอก ชาถึงนิ้วก้อยเท้า

          แล้วเราจะบำบัดอย่างไรกับอาการหมอนรองกระดูกเคลื่อนทับเส้นประสาทขา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น